วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วัน "พ่อ" ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕

วันนี้ถือว่าเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งสำหรับประเทศไทย นั่นคือ "วันพ่อ" ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

ทั่วทั้งประเทศไทย (ก็ว่าได้) ต่างพร้อมใจ "จุดเทียนชัยเพื่อถวายพระพรในหลวงของเรา" และนัยหนึ่งก็ทำเพื่อ "บิดา" หรือ "พ่อ" ของเราเองด้วย

ที่ถือวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็ํนวันพ่อเนื่องจาก "ในหลวง" ของเราท่านประสูติวันนี้ และเป็นวันจันทร์ ดังนั้น...จึงได้ถือ "สีเหลือง" เป็นสัญญลักษณ์ของท่านด้วย

ครอบครัวเราก็ "ปฏิบัติ" ตามดังที่ทั่วประเทศทำด้วยเช่นกัน  สิ่งสำคัญอย่างนี้ในหลายประเทศทั่วโลก "ไม่มี" จงภูมิในไว้เถิดว่า วันที่ ๕ ธันวาคม ทุก ๆ ปีของเมืองไทยนั้นยิ่งใหญ่และสำคัญเป็นยิ่งนัก

วันที่ ๕ ธันวาคม ถือว่า "เป็นธรรมเนียม" ปฏิบัติของคนไทยไปแล้วก็ว่าได้  คุณเอ๊ย....ความรู้สึกของวันนี้นั้น ....บอกกันลำบาก...ใช่ว่าจะบอกกันไม่ได้  ...แต่...ลึก ๆ ของความรู้สึกนั้น...ตื้ันตันใจ

ช่วงเย็น ๆ ของวันนี้ น้องนิ้งและน้องนนท์  จึงได้ปฏิบัติตามธรรมเนียม..โดย..เข้าไปกราบพ่อ และ มีของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับพ่อ

สิ่งที่เจ้าให้นั้น..เป็นกำลังใจที่ดีมาก  ถึงแม้เจ้าไม่ให้ก็ได้ไม่ต้้องแสวง เพียงแต่ "เป็นเด็กดีของพ่อและแม่และของสังคมและไม่ทำให้พ่อและแม่ต้องลำบากใจเท่านั้น" พ่อก็ดีใจแล้ว

ดังนั้น..จึงได้ "หอมแก้ม" ลูกทั้งสอง เนื่องจากลูกทั้งสองนั้นถือว่าไม่เคยทำให้ลำบากใจ และเป็นเด็กที่ไว้ใจได้ พูดไม่ต้องมาก และสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่สังคมยอมรับได้ดี

 จากนั้น...ลูกทั้งสองจึง "หอมแก้มพ่อ" บ้าง  เป็นอารมณ์ที่บรรยายให้ฟังยากจังเลย  ลูกทั้งสองก็ต้องทำหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน

เพราะว่า..คุณพ่อได้ฝึกไว้ตั้งแต่เด็ก ไม่เช่นนั้นเด็กจะหลงระเริงเพราะว่าช่วงของลูกทั้งสองคนนี้ได้ผ่านพ้นช่วงที่ลำบากไปแล้ว  ฉะนั้นคุณพ่อจึงต้องฝึกเขาไว้จะได้รู้ในความลำบากด้วย


         ............,,,,,,,,,,,,................,,,,,,,,,,,,,................
  เรียนผู้มีเกียรติที่ติดตามทุก ๆ ท่าน  "เนื่องจากพื้นที่นี้..เต็ม.." ดังนั้น กระผมจึงต้องใช้พื้นที่อันใหม่  ท่านสามารถติดตามชมต่อได้ที่


     http://gradingthong1.blogspot.com  


       โดยยังมีเรื่องราวที่ดี ๆ และน่าสนใจเช่นเคย

                 ขอบคุณมากครับ

          ...กระดิ่งทอง...

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

CSR ที่โรงเรียนบ้านทุ่งม่วง จันทบุรี

กลุ่มเพื่อน ๆ ทั้งสี่เหล่าทัพของ "กลิ่นกระวาน..บ้านสวน" ร่วมกันทำ CSR ที่โรงเรียนบ้านทุ่งม่วง ซึ่งตั้งอยู่ที่ ม.7 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

CSR ย่อมาจาก Corporate Social Responsibility ความหมายก็คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่นั่นเอง เพื่อที่จะได้ไม่เสื่อมโทรมลงไปอีก หรือจะได้ดีขึ้นไม่ใช่แต่จะเข้ามาอยู่อาศัยหรือเอาเปรียบประการเดียว  ตอบแทนให้กับสิ่งรอบด้านบ้าง


ความคิดที่ "บรรเจิด" นั้น เกิดจากคุณสุชาติ ครับ เนื่องจากว่ากลุ่มของเราทั้งสี่ครอบครัวได้มาซื้อที่ดินในเขต..ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ไว้คนละประมาณ 5 ไร่


ดังนั้น..จึงได้เล็งเห็นว่าควรที่จะ "ผูกมิตร" หรือ "เชื่อมสัมพันธ์" กับชาวบ้านบริเวณที่ใกล้ชิดกับถิ่นที่เราได้เข้ามาซื้อที่ดินไว้ดีกว่า


เป็นความคิดที่ "สร้างสรรค์" มาก กลุ่มของเราจึงเห็นดีเห็นงามด้วย ความคิดนั้นเริ่มเมื่อซัก 2 ปี แล้วแหละ แต่..พึ่งจะเป็นรูปเป็นร่างก็เดือนพฤศจิกายน ปี 2555 นี่แหละท่าน

สี่ครอบครัวจึงระดมเงินครอบครัวละ ๑,๐๐๐ บาท เมื่อรวมแล้วจึงเท่ากับ ๔,๐๐๐ บาท คุณสุชาติ..อาสา..ออกแรงไปซื้อที่งาน "เครือสหพัฒน์" ซึ่งมีการจัดขายทุก ๆ ปีที่เขตชลบุรี 

สินค้าก็เป็นประเภทของดีมียี่ห้อ..เพียงแต่ "มีตำหนิ" แต่คนซื้อไม่รู้หรอกเพราะเข้าใจยาก ซึ่งต้องคัดกันให้ตรงแบบ "QC" ได้สินค้ามาเป็น "ลูกฟุตบอล" "ลูกบอลเล่ย์บอล" "ลูกบาสเก็ตบอล" แต่ละประเภทก็มีอีกหลายลูกด้วยกัน

สมาชิกที่ร่วมเดินทางไปนั้นก็มีไม่กี่ท่าน โดยมีรายชื่อดังนี้ 1.กระดิ่งทอง 2.คุณสุชาติ 3.คุณเสมอ 4.เสี่ยล้อ 5.คุณนิธิ 6.คุณทอม 

 เนื่องจากไปแบบไม่เป็นทางการนั่นเอง สืบเนื่องจากว่า..โทรศัพท์ของโรงเรียนนั้นสายขาด จึงไม่สามารถโทรติดต่อกันได้ 

เพราะ..คุณสุชาติ ได้พยายามโทรติดต่อโรงเรียนอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่สามารถโทรติดต่อได้ 

ดังนั้น...จึงไปไปกันแบบ "ดุ่ย ๆ" โดยไปวันธรรมดาคุณครูและนักเรียนจะได้อยู่ที่โรงเรียน วันที่เป็น "ฤกษ์งาม..ยามดี" ก็คือ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ครับท่าน


เหตุที่กลุ่มเราเลือกโรงเรียนแห่งนี้นั้น..เพราะอยู่ใกล้กับที่เราไง สะดวก และก็ยังเห็นเด็ก ๆ แบบไร้เดียงสาด้วย  

เมื่อเห็นนักเรียนแล้ว คล้ายกับเราอยู่บ้านนอกสมัยเด็ก ๆ เลย  จึงชอบใจ

โรงเรียนบ้านทุ่งมุ่วงตั้งอยู่ที่ห่างจากสวนของกลุ่มเราประมาณ 1.5 กม. ก็ถือได้ว่าไม่ไกลนัก  แม้แต่ป้ายชื่อโรงเรียนก็ยังเป็น "สีม่วง" เลย  แหล่มซะจริง

ครั้นไปถึง คุณครูท่านก็ให้เขียนบันทึกลงในสมุดว่า ...คณะใดมาบริจาคสิ่งของ...จะได้เก็บไว้เป็น "บันทึกความทรงจำ" และเป็นประวัติแก่บุคคลนั้น ๆ ด้วย  

จึงมอบหมายให้กับคุณสุชาติเป็นผู้ขีดเขียนลงสมุดไว้ ส่วนคุณเสมอก็พูดคุยกับครูไปเรื่อย ๆ ถามถึงว่า มีนักเรียนกี่คน, ครูมีกี่คน ,การเรียนการสอนเป็นอย่างไรบ้าง 

นักเรียนมีไม่มากนัก แต่ ครูก็มีไม่มากด้วย ถึือได้ว่าดูแลได้ทั่วถึงน่ะ 

วันที่มอบสิ่งของกันนั้น คุณครูก็ได้เกณฑ์นักเรียนมาต้อนรับกลุ่มของเรา (เพราะมีไม่กี่คน) ที่เห็นในภาพนั้นก็เกือบหมดโรงเรียนแล้วแหละ

คล้าย ๆ กับสมัยที่เราเป็นเด็ก เมื่อมีผู้ใหญ่มาบริจาคหรือมอบสิ่งของให้กับโรงเรียนเพื่อที่จะให้นักเรียนใช้ต่อไป นักเรียนก็จะ "ภูมิใจ" และ "ดีใจ" เป็นอย่างยิ่ง

สมัยผมอยู่ชั้นประถูมปีที่ 4,5,6 กระผมยังจำได้ว่า ช่วงกลางวันกระผมไปเบิกลูกฟุตบอลจากคุณครู ก็ได้ลูกฟุตบอลที่รั่วแล้ว (ลูกที่ชำรุดแล้วนั่นแหละ,ต้องทิ้งได้แล้ว แต่ คุณครูยังเก็บไว้ให้นักเรียนใช้งานไปเรื่อย ๆ เพราะมีลูกที่ดีไม่กี่ลูก และนักเรียนก็เล่นฟุตบอลเยอะด้วย)


จากภาพในความทรงจำแบบนี้ เมื่อเราโตและมีรายได้พอที่จะ "จุนเจือ" หรือ "ช่วยเหลือ" น้อง ๆ ได้ กลุ่มเราจึง "ไม่แล้งน้ำใจ" ปันความต้องการนี้ให้น้องใช้บ้าง 

ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมากมายครับ เมื่อนักเรียนพร้อม เราก็ยกสิ่งของนำไปวางที่โต๊ะเลย และเราก็กล่าวมอบสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคุณครูและนักเรียนสั้น ๆ แต่ได้ใจความ

มันเป็นความภูมิใจลึก ๆ ของกลุ่มเราที่ร่วมกันทำกิจกรรมครั้งนี้ สำหรับท่านสมาชิกที่ไปด้วย คือ "เสี่ยล้อ" นั้น หุ่นอย่างไรก็อย่างนี้   

แต่...ถ้ามีเรื่องทำบุญเข้ามาเกี่ยวข้อง พี่แกชอบที่จะไปร่วมกิจกรรมกับพวกเราเสมอ ๆ 

อย่างเช่นวันนี้ แต่งตัวแบบสบาย ๆ ไม่มีอะไรมาก หุ่นผอมบาง ดูแล้วไม่น่าจะต้านแรงลมได้มากมายครับ แต่ขอบอก...ใจหนักแน่นมาก  เป็นไงเป็นกัน ถึงไหนถึงกัน...สำหรับคนนี้

คนเรานั้น..อย่า..ดูที่ตัว ขอให้ดูกันที่ "จิตใจ" สิ่งที่ตาเห็นไม่ใช่อย่างที่คิด


เมื่อ..มอบสิ่งของให้เรียบร้อยแล้ว  เราถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกของทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง เพื่อที่จะจำได้ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ได้มีกลุ่ม ๆ หนึ่งเข้าให้การสนับสนุนสิ่งของบางอย่าง

กลุ่มนั้นชื่อว่า "กลิ่นกระวาน..บ้านสวน" เข้ามาบริจาคสิ่งของให้กับน้อง ๆ โรงเรียนบ้านทุ่งม่วงแห่งนี้ โดยเป็นความเต็มใจของกลุ่มที่เข้าไปบริจาคสิ่งของครับ

โอกาสต่อไปถ้า "เหมาะสม" กลุ่ม ..กลิ่นกระวาน บ้านสวน  ก็จะแวะเวียนมามอบสิ่งของให้กับน้อง ๆ ณ.โรงเรียนแห่งนี้อีก เพราะว่าอยู่ใกล้เรามากที่สุด

..เรามาฟังน้อง ๆ กล่าวขอบคุณกลุ่มเรา  ฟังสิว่าน้อง ๆ เขาพูดอะไรบ้างครับ..




ก่อนจาก กระผม "กระดิ่งทอง" และ "คุณนิธิ" ขอถ่ายภาพคู่กับป้ายโรงเรียนด้านในหน่อย  จะได้เป็นภาพของความทรงจำว่า 

ในอดีตนั้น เราก็เคยเข้าไปมอบสิ่งของให้กับน้อง ๆ ณ.โรงเรียนบ้านทุ่งม่วง 1 ครั้งแล้วนะ 

มันเป็น "ความทรงจำ" ที่ดีมาก ผู้ให้ก็ "ปราบปลื้ม" ผู้รับก็ "ซาบซิ้ง" สิ่งแบบนี้อธิบายกันไม่ได้ ..แต่..ก้นบึ้ง มัน "สุดขั้ว" ...ขอรับ

ผมก็ยัง "บันทึกภาพน้อง ๆ" อีกนิดหนึ่ง เห็นความน่ารัก ๆ ของเด็ก ก็นึกถึงสมัยตัวเองเช่นกัน อันที่จริง.. น้อง ๆ เหล่านี้ก็อายุอานามใกล้เคียงกับลูกของข้าพเจ้านั่นแหละ  

น้อง ๆ บางคนก็ "เขินอาย" ที่จะถ่ายภาพ แต่เราก็อยากได้ภาพที่เป็นธรรมชาติไว้ เมื่อน้อง ๆ เติบใหญ่เข้ามาค้นพบภาพตัวเองเมื่อวัยเด็ก คงจะดีใจไม่น้อยนะ

จำได้ว่า ตัวเองไม่เคยมีกางเกงในใส่จะถึง ป.5 พอขึ้น ป.6 น้าของกระผมจึงซื้อกางเกงในมาให้ใส่ ซึ่งที่ไม่มีใส่เพราะไม่รู้ว่าต้องใส่กางเกงในด้วย....แหม..ช่างโรแมนติกจัง

ต้องขอขอบคุณ "น้าหนู" ของกระผมมาก  และยังจำได้ว่า เมื่อไม่ได้ใส่กางเกงนะ ครั้นที่ต้องไป "ปัสสาวะ" หรือ "ฉี่" หรือ "เยี่ยว" นั่นแหละ 

เยื่ยวเพลิน ๆ แล้วรูดซิป แต่ "ปลายอวัยวะเพศ" ยังไม่ได้พ้นซิปกางเกง แต่รูดซิปเลย แล้วซิป "หนีบปลายอวัยวะเพศ" ....น้ำตาเล็ด..ครับพี่น้อง  

ยังต้องถอยซิปคืนด้วยนี่สิ...โอ๊ย....ย  ซิปสมัยนั้นเป็นทองเหลืองเน๊าะ   เกินจะบรรยายครับ...

สำหรับน้องคนนี้ก็คงจะดีใจเป็นยิ่งนัก ที่มีกลุ่มเรามามอบสิ่งของที่เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนและนักเรียนให้ได้มีเครื่องกีฬาไว้ใช้  

เืนื่องจากคุณครูบอกว่า เครื่องกีฬาที่มีอยู่ก็ชำรุดไปเยอะแล้ว งบประมาณที่ให้มาก็มีน้อยเพราะนักเรียนน้อย 

จากที่เคยไปบริจาคมาหลายที่ คุณครูก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันคือ "งบประมาณได้มาน้อย"

ซึ่งรัฐบาลก็ตั้งกฏเกณฑ์ไว้เยี่ยงนี้อยู่แล้ว "นักเรียนน้อย..ก็ให้ทุนไปน้อย"  ขึ้นอยู่กับว่า ครูเองต้องบริหารเงินก้อนนั้นให้ดีละกัน ต้องรู้จักใช้ว่าอะไรสมควรอะไรไม่สมควร  และต้อง "ไม่เบียดบังงบประมาณ" นั้นด้วย


บริจาคสิ่งของเสร็จแล้ว กลุ่มเราก็นั่งพักและพูดคุยกันนิดหน่อย  ด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบของทุก ๆ คนที่มาร่วมทำกิจกรรมกันในวันนี้ 

ถึงแม้นาย "กระดิ่งทอง" เพิ่งจะออกกะดึกก็ไปช่วยเพื่ออยากเห็นกับตาตนเอง และตอนเย็นต้องกลับมาทำงานกะดึกอีก กระผมก็ "ภูมิใจมาก" และพอใจเป็นอย่างยิ่ง



หลังจากนั้นกลุ่มเราจึงเดินทางกลับระยอง  ในช่วงบ่ายโมง  ใช้เวลาเดินทางกันประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 163 กม. 

โดยปกติจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง  ที่นานเนื่องจากว่า "รถยนต์เยอะมาก" รวมทั้งรถที่บรรทุกผลไม้ก็เยอะ  อีกแรงหนึ่งก็ได้การหนุนรถคันแรกจากรัฐบาลด้วย

...ด้านล่างนี้ชภาพที่เกิดขึ้นสำหรับวันนั้น...










  
                   (ขอให้โชคดีทุก ๆ ท่าน..นะจ๊ะ)

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นักกีฬาโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง ปี 2555

ณ. ปัจจุบันโรงเรียนที่มีื่ชื่อเสียงของจังหวัดระยองอีกแห่งคือ "โรงเรียนมัธยมตากสินระยอง" เป็นโรงเรียนที่เปิดมาไม่นานนักประมาณ 3 ปี (ปัจจุบัน ปี 2555)

ถือว่าก่อร่างสร้างตัวมาได้ไม่นานนัก แต่..สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดระยองในระดับต้น ๆ เร็วมาก

แน่นอนถ้าจะ "ผลักดัน" ให้โรงเรียนใด ๆ ก็ตามให้มีชื่อเสียง "ไม่ใช่เรื่องยาก" ที่จะทำ ...เว้นแต่...ไม่ทำ

พื้นที่แต่เดิมของโรงเรียนแห่งนี้เป็น "สถานกักกัน" หรือ "เรือนจำ" ประจำจังหวัดระยองมาก่อน ย้อนหลังไปซัก 15 ปีเป็นต้นไป

บริเวณแห่งนี้จะไม่ค่อยมีผู้คนอาศัยมากนัก (น้อยมาก) เนื่องจากเป็นเรือนจำของจังหวัดระยองนั่นเอง

จะ "รกทึบ" และ "วังเวงวิเวกแว่ว" ด้านหลังจะมีที่ฝังศพของคนไทยเชื้อชาติจีนหลายจุด จึงทำให้ไม่มีคนบุกรุกป่ามากนัก สังเกตุได้จาก "ต้นยาง" ที่สูงใหญ่มีอยู่เป็นอย่างมาก

เมื่อความเจริญขยายเขตออกไปเรื่อย ๆ จำเป็นต้องย้ายสถานที่เรือนจำจังหวัดระยองออกห่างชุมชน โดยปัจจุบันย้ายไปอยู่ที่เขตรอยต่อระหว่าง กม.12 และ อ.ปลวกแดง หรือแถว ๆ หน้าอ่างเก็บน้ำดอกกราย



โรงเรียนแต่ละแห่งโดยส่วนใหญ๋จะมีกีฬาประจำโรงเรียน การแข่งขันนั้นมี "กีฬาสีประจำโรงเรียน" หรือ "กีฬาประจำจังหวัด" หรือ "กีฬาของเขต"

นักกีฬาโรงเรียนมีหลายประเภท  เช่น เทควันโด, ฟุตซอล, ฟุตบอล, วิ่ง และอื่น ๆ อีก

"น้องนิ้ง" หรือ "ด.ญ.พนิตสุภา อยู่เย็น" ก็เป็น "หนึ่ง" ของนักกีฬาประจำโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง ปี 2555

น้องนิ้งเป็นนักกีฬาประเภท "แบตมินตัน" ซึ่งก็มีทั้งตี "เดี่ยว" และ "คู่" การฝึกซ้อมก็เพิ่งจะเก็บตัวของนักฬาได้ 1 อาทิตย์นี่เอง

การฝึกนั้น "หนัก" และ "ยาวนาน" ...แน่นอน...ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ต้อง "มานะ" และ "บากบั่น" เท่านั้นจึงจะเป็น "ที่หนึ่ง" ได้

ไม่เช่นนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ล่ะซี  เมื่อต้องการเป็น "ยอดคน" ก็ต้องทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ทำกัน (ในทางที่ดีเท่านั้นนะจ๊ะ)


ครั้งแรก ๆ นั้น "น้องนิ้ง" ไม่ค่อยจะปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักการนัก เพราะว่า ...ไม่ได้เรียนการตีแบตมินต้นโดยตรง

จึงทำให้ภาคปฏิับัติทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร คือ..ไม่ถูกต้องตามหลักการที่แท้จริง หรือ "ตีโดยใช้ท่อนแขน" ฉะนั้นจึงออกแรงมากกว่าคนที่เขาเล่นเป็นจริง ๆ

คนที่เป็น "อาจารย์ฝึกสอน" เห็นเพียงตาข้างเดียวก็บอกได้เลยว่า "ต้องพัฒนาอีกเยอะ" แต่นี่เป็นปีที่สองแล้วนะที่น้องนิ้งเป็นนักกีฬาให้กับโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง

ซึ่งปี 2554 นั้น "น้องนิ้ง" ก็ไปแข่งขันมาแล้ว ได้อันดับ 3 ของเขตภาคตะวันออกแน่ะ....

ในทางปฏิบัตินั้นเราลองมาชมว่า มีข้อบกพร่องอะไรตรงไหนบ้างซิ  ที่จะต้องปรับปรุงกันต่อไป  ในภาพวีดีโอนั้น "น้องนิ้ง..ฝึกซ้อม..กับ..น้องมาย"

     ...เรามาชมกัน...ฮะ



สรุป...น้องนิ้ง..นั้นยังต้อง "ฝึกฝน" และ "ปรับปรุง" ในอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ "ข้อมือ" แทนการใช้ท่อนแขน

เนื่องจากการใช้ท่อนแขนจะทำให้ใช้แรงงานมาก และแรงที่ส่งไปหาลูกแบตมินตันไม่แรงที่สุด หรือความเร็วและความแรงของลูกไปได้ไม่ไกลและช้า

เมื่อเทียบกับ "น้องมาย" ที่ตีคู่กันดังภาพเคลื่อนไหวด้านนั้น น้องมายจะทำได้ดีกว่า เพราะน้องมาย "เรียนกีฬาตีแบตมินตัน" มาโดยตรง

แต่ไม่เป็นไร ของแบบนี้เราเรียนรู้กันได้ คนที่เรียนมาโดยตรง ..ถ้าไม่พัฒนาไม่เรื่อยๆ ก็จะอยู่กับที่หรือถอยหลังไปเรื่อยก็ได้

เพราะว่า..มันเรียนรู้และพัฒนากันได้ไง โดยดูจากภาพที่เราบกพร่อง หรือให้ผู้ควบคุมการสอนเราบอกจุดที่เราบกพร่องเราก็พัฒนาตามที่ผู้ฝึกสอนแนะนำเรา  ขอ...อย่า...เป็นเหมือน "น้ำเต็มแก้ว" ก็พอ

สำหรับน้องเมย์.. ก็เป็นคู่ซ้อมให้กับน้องนิ้งอีกคนหนึ่ง  ลักษณะการซ้อมของทั้งคู่ก็มีข้อที่จะต้อง "ปรับปรุง" อยู่อีกหลาย ๆ จุด 

สำคัญอีกอย่างคือ "ประสาทสัมผัส" ซึ่งเป็นการใช้สายตา และ มือ ,การเดิน, การวิ่ง ขณะที่ลงสนามฝึกซ้อม

 การซ้อมอะไรก็แล้วแต่ "ต้องหมั่นสังเกตุการณ์" รอบด้าน ยิ่งถ้าได้ซ้อมก้ับคนที่เขาเก่งกว่าเราแล้ว เราจะเก่งไวมาก

เนื่องจาก..ถ้าสังเกตุลักษณะการตี และการชิงไหวชิงพริบจากคนที่เก่งกว่าเรา แล้วนำมาปรับปรุงกับตัวเองได้ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่จำเป็นต้องแพงเลย เรียกว่า "ใช้ทักษะ" ที่ถูกต้องเท่านั้น


เพราะผมเห็นมาแล้ว คนที่มี "สตางค์" ใช้ไม้แบตราคา 10,000 บาท ซ้อมกับครูฝึกที่ใช้ไม้แบตมินตันราคาไม่เกิน 500 บาท 

ครูฝึกตึหลอกให้คนที่ใช้แบตมินตันราคา 10,000 บาท วิ่งทั่วพื้นที่เลย "เหนื่อยซะ" แทบจะขายไม้แบตมินตันกันขณะนั้นเลย



ต่อจากนั้นเป็นการฝึกซ้อมการตีแบตมินต้นกับครูเอ้

ซึ่ง "ครูเอ้"....ได้สอนเทคนิคสำคัญให้กับน้องนิ้งหลายประการ 

เนื่องจาก "ครูเอ้" เป็นพี่เลี้ยงอีกท่านหนึ่งที่คอย "จับผิด" และ "แนะนำ" สิ่งที่นักกีฬาจะต้องปรับปรุงและปฎิบัติให้ดีขึ้น และลบจุดด้อยของตัวเองลงไปเรื่อย ๆ


การฝึกซ้อมก็เริ่มตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ ซ้อมในเวลาปกติราชการนี่แหละ ถือได้ว่า "หนัก" เช่นกัน แต่ได้ความชำนาญกับคืนมาก นับว่าไม่เสียหลายเลย

   ...เรามาชมภาพที่..ครูเอ้..สอนน้องนิ้งซิ...




ภาพต่อไปภาพ "น้อยมาย" และ "น้องเมย์" ฝึกซ้อมการตีแบตมินตันนอกรอบ ระหว่างที่รอน้องนิ้งซ้อมตีแบตมินตันกับครูเอ้ไปพลาง ๆ ก่อน

เป็นการ "ฝึกปรือ" นอกรอบว่างั้นเถอะ ซ้อมมาก ปรับปรุงข้อบกพร่องไปเรื่อย ๆ ก็เก่งไปเรื่อย ๆ เองแหละ

การฝึกที่สามารถทำได้อีกอย่างคือ "นั่งสมาธิ" และนึกภาพขณะฝึกซ้อมไปด้วย เรื่องแบบนี้ผ่านการ "พิสูจน์" แล้วว่า ได้ผลเป็นยิ่งนัก ไม่ด้วยไปกว่าการซ้อมจริงเลย จะเสียก็เรื่อง "เรี่ยวแรง" เท่านั้น

      ....ลองชมภาพกันดีฝ่า....



น้องนิ้ง...หลังจากเก็บตัวนักกีฬาของโรงเรียนได้หนึ่งอาทิตย์แล้วก็กลับมาพักผ่อนที่บ้าน 2 วัน
เรามาฟังซิว่า ช่วงเวลาที่ฝึกซ้อมขณะไปเก็บตัวที่นั้น..เป็นอย่างไรบ้าง

    ....เชิญรับชมและรับฟังเลยครับ....


 
ปัจจุบัน (18 ตุลาคม 2555) นักกีฬาของโรงเรียนมัธยมตากสินระยอง กำลังเก็บตัวฝึกซ้อมกีฬาที่โรงเรียนเป็นอาทิตย์ที่สองแล้ว 

น้องบางคนก็ "ระพึงรำพัน"  เนื่องจากว่า การฝึกซ้อมนั้น "หนัก" เอาการ ขอให้ตระหนักว่า..ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรอก..นะจ๊ะ  555

สำหรับคู่ซ้อมแบตมินตันของน้องนิ้งนั้น ยังเป็นน้องเมย์เช่นเคย  นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ๆ คนที่คอยหมั่นฝึกซ้อมเป็นคู่ซ้อมให้

ต้อง "อดทน" และ "ยอมเหนื่อย" เพื่อชื่่อเสียงโรงเรียนของน้องหนูนะ


นักกีฬา "เทควันโด" นี่เป็นอีกกีฬาหนึ่งที่ฝึกหนักเช่นกัน เป็นกีฬาประจำชาติของประเทศเกาหลี

ความนิยมเกาหลี..แพร่สะพัดมาถึงกีฬาประจำชาติของเขาเอง (เผยแพร่ได้ดีมาก) เป็นกีฬาต่อสู้ป้องกันตัวที่สำคัญอีกกีฬาหนึ่ง

ผู้เรียนก็ต้อง "ใจสู้" ด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น ได้ผลลัพท์น้อยมาก

...ชมภาพขณะฝึกซ้อมกันไปก่อน...




นี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่ต้องซ้อมกับ "กระสอบทราย" ซึ่งในกระสอบนั้นไม่ใช่ทรายจริง แต่เป็น "เศษผ้า" และ...ผ้าอัดแน่น...

นักเรียนที่เรียนนั้นก็สนใจเรียนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากท่านครูผู้ฝึก "เข้มงวด" กับการฝึก เห็นหลาย ๆ คน ...เหนื่อย.. และ หมดแรง

นักเรียนหญิงคนนี้ตั้งใจฝึกซ้อมเป็นอย่างมาก เตะทั้งซ้ายและขวา น่าจะรักในกีฬาชนิดนี้เป็นอย่างมาก  สามารถพัฒนาเป็นอาชีพต่อไปได้เลย...ถ้าชอบแบบจริงจัง

       ...ลองชมภาพของน้องเค้าดู... 

 

ต่อไปเป็นนักกีฬาชาย  ที่ยังไม่ลงสนามจริง แต่  ต้องกระโดดเชือกเพื่อเก็บแรงไว้ก่อน  ก็ซ้อมกระโดดเชือกไปเรื่อย ๆ 

บางคนเก่งถึงขั้น "กระโดดเชือกกลับหลัง" ได้ ...แหม...นับถือมาก และกระโดดได้แบบ "ชำนาญ" ด้วยนะ 

แต่อย่างไรหน้าที่หลักก็อย่างไรบกพร่อง  ความสามารถที่ทำได้ก็พัฒนาต่อไป สิ่งที่เป็นหน้าที่หลักก็ต้องทำให้ดีควบคุ่กันไปด้วย

การบังคับใจของตนเองนี่เป็นเรื่องยากมาก ต้องฝืนกับความเหนื่อยเป็นที่สุด

    ...ชมภาพที่กล่าวไปแล้วกัน...

 

ก่อนที่ "น้องนิ้ง" จะกลับไปฝึกซ้อมต่อ น้องนิ้งก็ทราบแล้วว่าตัวเองจะต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง และสิ่งที่จะให้ข้อด้อยของตัวเองลดน้อยไปเป็นเรื่องอะไรบ้าง ฟังน้องนิ้งพูดซักนิดซิ



    ...หลังจากนี้ชมภาพ "นิ่ง" บ้าง...







 

    ติดตามชม ..ผลงานต่อไป..เรื่อย ๆ ขอรับ 

        จาก..กระดิ่งทอง