วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ท่องเที่ยว "ดอนหอยหลอด" สมุทรสงคราม

การท่องเที่ยวดอนหอยหลอดดอนหอยหลอด เป็นสันดอนปากน้ำแม่กลอง ที่เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทราย (ชาวบ้าน เรียก"ทรายขี้เป็ด") ทรายขี้เป็ดนี้อาจนำไปใช้ถมที่ได้ แต่ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างไม่ได้

มีอาณาบริเวณกว้าง 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร โดยประมาณซึ่งมี 2 แห่ง คือ ดอนนอกอยู่บริเวณปากอ่าวแม่กลอง

สามารถเดินทางไปได้โดยทางเรือ ส่วนดอนใน อยู่ที่ชายหาดหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็ง และ ที่ ชายหาดหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว






สามารถเดินทางได้โดยทางรถยนต์ บริเวณสันดอนนี้มีหอยอาศัยอยู่ หลายชนิด ได้แก่ เช่น หอยปากเป็ด หอยลาย หอยปุก หอยแครง และโดยเฉพาะหอยหลอด มีมากที่สุดครับ

หอยหลอด เป็นหอยชนิด 2 ฝา ตัวสีขาวขุ่นมีเปลือกคล้ายหลอดกาแฟ มีชื่อสามัญว่า Rozor clam และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Solen Strictus Gould 1861




จัดเป็นหอยสองฝาที่มีตัวอยู่ในฝาซึ่งประกบกันสองข้าง กลม ยาวประมาณ 7-8 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1เซนติเมตร

ฝังตัวอยู่ในทรายโดยส่วนปลายของเปลือกทั้งสองด้านมีช่องเปิดด้านหนึ่งเป็นเท้า

และอีกด้านหนึ่งเป็นท่อน้ำ สำหรับกรองอาหารยื่นออกมา หอยหลอดจะชอบฝังตัวอยู่ในดิน จะอยู่ลึกจากผิวดินลงไปประมาณซัก 1-2 นิ้ว

โดยจะขุดเป็นรูขนาดเท่าลำตัวของหอยหลอดเองและวางตัวอยู่ในท่อในแนวตั้งหรืออาจจะเอียงเป็นมุมประมาณ 30 องศา

โดยตัวหอยจะเคลื่อนที่ขึ้นลงอยู่ในท่อหรือรูนี้ โดยปกติแล้วหอยหลอดจะขึ้นมาอยู่บนผิวหน้าของดิน


โดยยื่นลำตัวออกมาอยู่เหนือผิวดินประมาณ 1/3 ของลำตัวของหอยหลอดเอง หรืออาจจะอยู่บริเวณผิวดินเลย จะเปิดช่องเพื่อกรองอาหาร และน้ำผ่านเข้าไปในตัวของหอยหลอด

หอยหลอดนี้จะชอบอยู่หนาแน่นบริเวณที่มีทรายปนมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ความหนาแน่นของหอยหลอดจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในแต่ละปีที่เปลี่ยนแปลงไป

การจับหอยหลอด จะใช้ไม้เล็กๆ ขนาดก้านธูป จุ่มปูนขาว แล้วแทงลงไปในรูหอยหลอด เมื่อหอยได้รับสิ่งแปลกปลอมซึ่งระคายเคืองและเป็นพิษ มันจะพ่นน้ำและพุ่งตัวออกจากรู ทำให้สามารถจับได้ง่าย

ข้อแนะนำ.......ไม่ควรสาดปูนขาวลงบนสันดอน เพราะจะทำให้หอยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นตายหมด

ภาพแสดงสถานที่ "ดอนหอยหลอด" จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งจะเป็น "เลน" โดยทั้งหมด

ถ้าเราเคยดูโทรทัศน์ที่นำเสนอไปหลายช่องและหลาย ๆ รายการ

การที่จะออกไปไกล ๆ ของลานหอยหลอดนั้น ต้องใช้กระดานหนึ่งแผ่นโดยใช้ลำตัวและขาด้านหนึ่งไว้บนกระดาน

แล้วใช้ขาอีกด้าน "ยัน" ดินเลนนั้นไปเรื่อย ๆ คล้ายเล่นกระดานเลื่อน ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดที่สุดแล้วคุยเอ๋ย


ด้านนี้เป็นรายการอาหารที่ใช้ "หอยหลอด" เป็นวัตถุดิบในการทำครับ ก็รสชาดออกมา "เอร็ด อร่อย" มากเลย แบบนี้ก็เรียก "ผัดเผ็ดกระเพราหอยหลอด"

หอยหลอดนั้นสามารถทำอาหารได้หลาย ๆ ชนิดแล้วแต่จินตนาการของคนทำกับข้าวที่จะคิดได้ว่าอยากทำอาหารชนิดใดที่ใช้วัตถุดิบทำจากหอยหลอด 


หลาย ๆ คนก็มีหลาย ๆ แนวในการทำกับข้าว ถ้าจะกล่าวไปแล้วหอยหลอดนี้ไม่ได้หากินกันง่าย ๆ จะคุณ เป็นอาหารท้องถิ่นครับ ยังไม่มีการนำไปขายไกล ๆ ซึ่งอาจจะมีหลายเงื่อนไขที่ไม่สามารถทำได้



ส่วนด้านนี้ก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ปรุงขึ้นมาโดยใช้ "หอยหลอด" เช่นกันครับ ท่านจะหารับประทานได้ในบริเวณดอนหอยหลอดของจังหวัดสมุทรสงครามตลอดแนวครับ





 ดอนหอยหลอดแห่งนี้ ในเวลาน้ำมากจะถูกน้ำท่วม และในช่วงเวลาน้ำน้อยขณะน้ำลงจะสามารถไปเที่ยวชมทัศนียภาพได้

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวชมดอนหอยหลอด คือ ระยะเวลาเดือนมีนาคม- พฤษภาคม ของทุกปี

ที่บริเวณใกล้เคียงดอนหอยหลอด หมู่บ้านฉู่ฉี่นี้ เป็น ที่ตั้งศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และมี ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าพื้นเมือง เช่น หอยหลอดแห้ง อาหารทะเลสด

ที่ตั้งและพื้นที่ อยู่ในพื้นที่ ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ ตำบลบางแก้ว และตำบลคลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์-13๐ 17' - 25๐ N (เหนือ) และ 99๐ 55' - 100๐ 00' E (ตะวันออก)- เนื้อที่ 546,875 ไร่ ซึ่งรวมพื้นที่ทั้งหมดที่อยู่บนบกและในทะเล - ความสูงจากระดับน้ำทะเล โดยเฉลี่ยประมาณ - 0.15 - 1.23 เมตร- ระวาง 5035 I , 4935 I , IV

เราอาจจะเข้าใจว่า "หอยหลอด" มีเพียงที่ดอนหอยหลอดที่เดียว ครับแน่นอน ยังมีที่อื่นอีก เช่น จ.สมุทรปราการ , จ.ตราด และในต่างประเทศ เช่น
ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย แต่มีปริมาณน้อย

เรียกว่า...ไม่มากพอที่จะจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้นเราจึงสามารถทำให้ดอนหอยหลอดเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งของประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา....ครับ

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

งาน "วิ่ง" และ "ท่องเที่ยว" ที่จังหวัด นครนายก ปี 2552

วันที่ 25-26 กรกฏาคม 2552 ครอบครัว "กระดิ่งทอง" ได้มีโอกาสไป พักผ่อน และ ออกกำลังกาย ที่จังหวัดนครนายก สำหรับการออกกำลังกายนั้นคือการ "วิ่ง"

ในครั้งนี้เป็นการวิ่งที่เขื่อนที่สร้างจากคอนกรีตที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทยนั่นคือ ยาวถึง 2,500 เมตร


สำหรับการเดินทางไปครั้งนี้ครอบครัวกระดิ่งทองก็ไม่ได้ไปเพียงครอบครัวเดียว ยังมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยอีก 4 ครอบครัว 

เพื่อน ๆ ที่ไปด้วยกันนี้ก็ชอบการพักผ่อนและการออกกำลังกายแนวเดียวกัน

....ดังนั้น.... การสัญจรครั้งนี้ทำให้เรามีความสุขกันทั้งครอบครัว เพราะได้ทั้งการพักผ่อนและออกกำลังกายด้วย เมื่อมีโอกาสที่เหมาะสมคราวใดกระผมเองก็จะไปเสมอ

ครอบครัวที่ติดตามไปด้วยกันมีดังนี้




ครอบครัว "สุชาติ"

ประกอบไปด้วย น้องวิว น้องว่าน แม่วิ และคุณสุชาติ








ครอบครัว "ใหญ่" ประกอบไปด้วย น้องพีม น้องเพิร์ท แม่น้องพีม และคุณหนุ่ย






ครอบครัว "เสมอ" ประกอบด้วย น้องหลิว แม่โฉม และ คุณเสมอ









ครอบครัว ทอม และ น้องนิด




ภาพของเขี่อนขุนด่านปราการชล

การท่องเที่ยวครั้งนี้ก็ได้พร้อมกับการ "วิ่งเพื่อสุขภาพ" ซึ่งมีการจัดงานที่บริเวณ "เขื่อนขุนด่านปราการชล"

สถานที่ตั้งอยู่ที่ บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



ตัวเขื่อน ประกอบด้วยเขื่อนหลักและเขื่อนรองสร้างด้วยคอนกรีตบดอัด ปัจจุบันเป็น เขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาว ที่สุดในโลก

 โดยมีความยาวรวม 2,593 เมตร ความสูง ( สูงสุด ) 93 เมตร รับน้ำที่ไหลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำมีความจุ 224 ล้าน ลบม.






ซึ่งเขี่อนแห่งนี้สามารถช่วยบรรเทาไม่ให้น้ำเข้าท่วมภาคกลางได้ โดยเขื่อนจะเก็บกักน้ำจากเขาใหญ่ไว้ให้ก่อน เพื่อไม่ให้เข้าไปท่วมนองในบริเวณที่ลุ่มด้านล่าง

แรก ๆ ก็ถูกประท้วงจากคนไม่ทราบ แต่เมื่อทราบเหตุผลที่สำคัญกว่าจึงเปิดให้ก่อสร้างต่อ


ท้ายสุด...เมื่อก่อสร้างเสร็จก็เป็นสถานที่่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของประเทศไทยไปซะนี่

 ภาพด้านหลังเขื่อนเมื่อบรรจุน้ำเต็มในฤดูฝน ซึ่งช่วยลดภาระน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มได้และยังเก็บไว้ให้ให้ประชากรได้ใช้ทั้งในด้านเกษตร และ น้ำประปา 






ภาพด้านบน เมื่อมองจากมุมสูง จะเห็นมุมมองที่กว้างกว่า 




น้ำเขื่อนจะถูกปล่อยที่ร่องน้ำด้านบนเมื่อระดับน้ำเต็มขอบเขื่อนเท่านั้น ซึ่งโดยปกติจะเปิดออกจากด้านล่าง การปล่อยน้ำแบบนี้จะมีไม่บ่อยนัก และก็เป็นภาพที่สวยงามมาก โดยจะมีช่างภาพมาบันทึกภาพไว้เมื่อได้ทราบว่าเขื่อนจะปล่อยน้ำลักษณะนี้ออกมาจากเขื่อน







ภาพน้ำตกหนึ่งในสามน้ำตกของจังหวัดนครนายก




ด้านประโยชน์ใช้สอย มีน้ำในการทำเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค แก้ปัญหาดินเปรี้ยว เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และบรรเทาอุทกภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของนครนายก

นักท่องเที่ยวสามารถชมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้จากบริเวณสันเขื่อน จะเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าเขื่อน 

และชมทิวทัศน์เมืองนครนายกด้านหลังเขื่อน โดยบริเวณใกล้เคียงนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวคือ 1.น้ำตกสาริกา
2.น้ำตกนางรอง
3.น้ำตกวังตะไคร้ 

ซึ่งชื่อ"เขื่อนขุนด่านปราการชล"นี้ "ในหลวง" ของเราท่านได้พระราชทานนามให้นะครับ และท่านได้ไปวางศิลาฤกษ์ไว้ด้วย แต่ว่าท่านยังไม่ได้ไปเปิดเขื่อนนี้เป็นทางการเท่านั้นเอง





การเดินทาง ถ้ามาจากกรุงเทพฯ (ผมก็อ้างกรุงเทพฯ เป็นหลัก เพราะผมเป็นคนต่างจังหวัด) ใช้เส้นทางเดียวกับน้ำตกนางรอง ทางหลวงหมายเลข 3049 เลี้ยวขวาเข้าสู่ตัวเขื่อน

โดยปกติเมื่อเข้ามาใกล้ในระยะ 5 กิโลเมตรนั้นจะมองเห็นสันเขื่อนที่ใหญ่ขวางหน้าอยู่แล้วครับ 

สีที่เห็นที่สันเขื่อนนั้นเป็นสีของปูนแท้ ๆ ไม่ได้ทาสีนะ ทางขึ้นเขื่อนเป็นถนนลาดยาง (สีดำ) ไม่ค่อยชัน รถเก๋ง มอเตอร์ไซด์ รถสองตุ๊ก หรือ ตุ๊ก ตุ๊ก  



แม้กระทั่ง วิ่ง เดิน จะคลานเอา (ไม่แยกว่า คลานต่ำ คลานสูง)ก็ขึ้นได้สะดวกครับ (กำลังจะหมายความว่า สะดวกมากนั่นเอง) ในครั้งนั้นก็มีไปกันถึง 5 ครอบครัวด้วยกันนะครับ

เป็นที่สนุกสนานมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างก็เห็น "รอยยิ้ม" ซึ่งกันและกัน

นับได้ว่าเป็นความประทับตราประทับใจเป็นที่สุด โอกาสหน้าเราก็รวมกลุ่มกันไปสนุกแบบนี้อีกครับ

ชมภาพประกอบครับ













































































































































ต่อไปเชิญชม "ภาพเคลื่อนไหว" ครับ

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องราวที่ "สวนจันทบุรี"

สวนของกระดิ่งทองและเพื่อน ๆ นั้น ตั้งอยู่ที่ ต. ทับไทร อ. โป่งน้ำร้อน จ. จันทบุรี มีขนาดทั้งหมด 26 ไร่ (โดยประมาณ) แบ่งกันกับเพื่อน ๆ รวมทั้งหมด 4 สหายแล้วก็จะได้คนละประมาณ 6 ไร่กว่า ๆ

บริเวณในที่สวนของ "ก๊วน" เรานั้นก็มีทั้ง ลำไย ,ลองกอง ,มะไฟ ,แก้วมังกร,มะพร้าว ,ทุเรียน และมีบ้านอีก 1 หลัง ซึ่งใช้นอน และพักผ่อน เก็บของ

ภายในบ้านหลังนี้ เมื่อถึงยามหน้าผลไม้ พวกเราก็ภูมิใจที่จะเดินเก็บ "รับประทาน" ผลไม้ที่สุกติดต้น ทำให้รุ้สึก "ประทับใจ" เป็นอย่างมากครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มากมายแต่ความสุขทางด้านจิตใจมีมากกว่าครับ

ภาพนี้ น้องนนท์ กะ น้องวิว ร่วมทานข้าวร่วมกัน

ซึ่งทำให้ความสนิทสนมระหว่างกันนั้นดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งดูแล้วเป็นความ "ภูมิใจ" ให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

บรรยากาศเช่นนี้เกิดขึ้นได้ไม่ค่อยบ่อยนักนะครับ



ภาพน้อง "ทอม" กะ "นิด ขณะนั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกับสมาชิกที่ไปสวนด้วยกัน เป็นบรรยากาศที่ "ชื่นมื่น" และ "น่ารัก" ยิ่ง

ดูเผิน ๆ คล้าย "ผู้ดี" แปลงกายหนีออกจาก "วัง" อย่างไรไม่รู้ คงจะออกจากวังมาหาความลำบากบ้างอะไรอย่างนั้นมั้ง.....ง


นี่เป็นอีกอริยบทหนึ่งของบรรยากาศการ "ดื่มกาแฟ" ที่ได้รสชาดและอรรถรสเป็นอย่างมาก....ขอรับ..สำหรับ "คุณสุชาติ" เลยนะคุณ

การดื่มกาแฟยามเช้าที่สวนร่วมกับเพื่อน ๆ นั้นชั่ง "สุขขี" มาก และนี่เป็นหนึ่งในภาพที่เราได้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ครับ


หลังจาก "ก๊วน" ของเราได้ซื้อต่อมาจากคนในพี้นที่เมื่อเดือน กรกฏาคม 2552 เราก็ได้ปรับปรุงในเรื่องของ น้ำ, บ้าน ,ห้องน้ำ ,ไฟแสงสว่าง

ความเรียบร้อยภายในบ้าน ก็เป็นที่สะอาดสอ้านงามตา ทุกคนก็ต่างร่วมแรงร่วมใจกัน "พัฒนา" ให้ดูดี และยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติไว้เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่

ท่ามกลาง "สวนผลไม้" และ "ต้นยาง" เป็นบรรยากาศที่ "ร่มรื่น" เสียจริง ๆ นำมาซึ่งความ "อบอุ่น" และมีความสุขทั้งเด็ก ๆ เอง จนรวมไปถึงผู้ที่เป็นพ่อและแม่เหล่านั้น

ช่วงกลางคืนเราก็ซื้อข้าวของมาทำเพื่อรับประทานกัน มีทั้ง "เบียร์" สำหรับผู้ใหญ่ และ "ขนม" พร้อมเครื่องดื่มสำหรับเด็ก  แหละ "หมูย่าง" และอื่น ๆ สำหรับทุก ๆ คน

ค่ำคืนนั้น..กลุ่มเรานั่งรับประทานไป มองดูบนฝากฟ้าที่มีแต่ "ดวงดาว" ที่เต็มท้องฟ้าและสวยมาก....มันช่างเป็นช่วงที่ "สำราญ" ยิ่งนัก


ภาพการพักผ่อนของสมาชิกในยามเช้าหลังจากตื่นนอนกัน ก็มีการ "ชงกาแฟ" และร่วม "เสวนา" กันในยามเช้า ในบรรยากาศเช่นนี้เราได้รับ "กลิ่นอาย" ของธรรมชาติที่โชยมาให้เราชื่นชมอยู่ตลอดเวลา


การแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมกับเด็ก ๆ เพื่อให้เกิดความสนุกสนานร่วมกัน ความครื้นเคลงจึงเริ่ม ณ. จุดนี้เอง

บางสิ่งบางอย่าง...ที่หาได้ตามตลาดบ้านนอกบ้านนา โดยที่ผู้ใหญ่หลายคนไม่ได้พบได้เจอมานานหลายปี ก็จะซื้อมาตกแต่งให้กับเด็ก ๆ ได้เห็น เพื่อให้เด็ก ๆ หรือหลาน ๆ ได้สนุกสนานย้อนอดีตไปกับเราด้วย


ต่อจากนั้นเราก็ได้เข้าไปดูและเรื่อง "สวน" เพื่อให้เข้าไปดูแลสวนได้ง่ายขึ้น ทุก ๆ ครั้งที่ไปที่สวนก็จะไป "รบ" กับหญ้าซึ่งหญ้าก็ขึ้นตามปกติของมันนั่นแหละ

เพียงแต่ก๊วนของเรานาน ๆ จะไปซักครั้ง กล่าวได้ว่า ...หลายเดือนแหละ จึงทำให้ดูเหมือนว่าสวนที่ใช้สำหรับพักผ่อนของพวกเรานั้น หญ้าขึ้นเร็ว

 เพราะไปคราวใดก็เห็นแต่หญ้านั้นรกมาก เมื่อไปรบกับหญ้าครั้งใดก็ "เหนื่อย" ไปตาม ๆ กัน เราก็เลยมานึกว่า เอ๊ะ.....เราจะพักผ่อนหรือว่าเพิ่มงานให้กับพวกเราเองกันเนี๊ย


 ภาพนี้ "ใหญ่" ได้ไปเยี่ยมชมสวนเราครับ เพราะอยากทราบบรรยากาศสวนที่จันทบุรีนั้น สนุกและร่มรื่นเพียงไร

ด้วยท่าทางของ "ใหญ่" นั้น คงจะ "คิดถึง" สวนที่กาญจนบุรีของตนเองเช่นกัน

 

สุดท้ายเมื่อ "บรรลุ" ก็เลยเปลี่ยนวิธีคิดครับท่าน

พ่อแม่พี่น้องเอ๋ย จ้างคนดูแลสวนดีฝ่า เอาหละงานนี้มีเสียสตางค์ .... แต่ว่าเราไม่เหนื่อยเหมือนก่อน

ไม่อย่างนั้น ไปสวนครั้งใด ก็จะต้องไป "รบ" กับหญ้าประมาณ 1 วันก่อนที่จะได้พักผ่อนในวันถัดไป

......ในรายละเอียดติดตามได้เลย......

ต่อไปเชิญชม "ภาพแห่งความหรรษา" ครับ