วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

The 32nd Bangkok International Motor Show 2011

สำหรับงานแสดงรถยนต์ หรือ "บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 32" ที่..อิมแพค เมืองทองธานี.. ก็ใกล้ที่จะเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

แน่นอนครับว่า "ครอบครัวกระดิ่งทอง" ก็จะเดินทางไปชมด้วยแน่ ๆ...ครั้งนี้งานมอเตอร์โชว์ช่วงต้นปีมาแปลก นั่นคือการจัดงานมอเตอร์โชว์ช่วงต้นปีนั้นปกติจะจัดกันที่ไบเทคบางนา


แต่ปีนี้ไปจัดที่เมืองทองธานีซะงั้น และการจัดงานแสดงรถยนต์มีประเทศไทยที่เดียวในโลกครับที่จัดแสดงรถยนต์ปีหนึ่งถึงสองครั้ง

นั่นคือช่วงต้นปีและปลายปี (แปลกแต่จริง) การจัดงานแสดงรถยนต์ครั้งที่ 32 นี้จะเริ่มขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม - 5 เมษายน 2554

 
เวลาสำหรับการเปิดให้เข้าชมแยกเป็นดังนี้ สำหรับวันธรรมดาเริ่มตั้งแต่ 12:00-22:00 น. ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์จะเริ่มตั้งแต่เวลา 11:00 - 22:00 น. ส่วนราคาบัตรเข้าชมนั้นก็ 100 บาท/คน 


สถานที่นี้คือ "อิมแพคเมืองทองธานี"



ในส่วนนี้คือ "แผนที่" ของอิมแพคเมืองทองธานี สถานที่จัดงานก็ใหญ่โตมาก สามารถจอดรถยนต์ได้เยอะแยะเลยครับ

มีทั้งเสียเงินและไม่เสียเงิน ทั้งนี้ก็อยู่ที่ความพอใจของเจ้าของรถเองว่า พึงพอใจเลือกแบบไหนครับ


สำหรับสถานที่แสดงรถยนต์ที่นี้ ตัวผมเองบอกได้ว่าสามารถจอดรถได้สะดวก เนื่องจากมีที่จอดรถเยอะมาก

 

นี่คือแผนที่สำหรับการเดินทางไปชมงานแสดงรถยนต์ที่เมืองทองธานีของปี 2554


แล้วท่านจะไปชมงานได้อย่างไร นี่เลยครับมีตารางเส้น
ทางการเดินรถให้ท่านได้เลือกสรรค์แบบจุใจ ตามนี้เลย


 


นี่คือตัวอย่างของบัตรที่เข้าชมงาน
  ก็มีลักษณะแบบนี้ครับ การจัดงานครั้งนี้จะขาดเสียมิได้ถ้าปราศจากการได้รับแรงสนับสนุนจากแหล่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ทั้งหลายแหล่

การนำรถยนต์มาแสดงนี้ จะแสดงให้เห็นว่ารถยนต์นั้นมีวิวัฒนาการไปไกลและมีแนวทางไปทางไหน

ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่นั้น...ก็ขึ้นอยู่กับ "ผู้ซื้อ" ที่จะเป็นตัวบ่งบอกหรือชี้วัดถึงความสำเร็จในด้านการออกแบบรถยนต์


ครั้งแรกของการจัดแสดงรถยนต์ในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นจากคนมี "สตางค์" หรือ "เจ้าขุนมูลนาย" ในเมืองไทยที่กรุงเทพมหานคร ได้นำรถยนต์มารวมกันที่สนามหลวงเป็นครั้งแรก

ในปีแรก ๆ ที่เริ่มต้นกันนั้นก็มีรถไม่มากเพราะว่ายุคนั้นคนก็จะสัญจรเดินทางกันด้วยเรือ ฉะนั้นเรื่องรถยนต์คนก็เลยไม่ค่อยได้รับความสนใจกันเท่าไร (ผมจะหารูปมาประกอบครับ)


ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เข้ามาร่วมแสดงในงานนี้ก็มากันชนิดที่อาจจะเรียกได้ว่า "เกือบ" ครบทุกยี่ห้อก็ว่าได้ เพราะมาไม่ครบไง

ไม่ใช่แค่รถยนต์เท่านั้นนะที่จะมาแสดงในงานนี้ยังมี"เรือ"ด้วย รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งความงาม และที่ขาดไม่ได้ "เครื่องเสียงรถยนต์" พร้อมกับ "นางแบบสาวสวย" อีกเยอะแยะ ซึ่งจะทำให้การเข้าชมงาน "มอเตอร์โชว์" นั้นเกิดความเพลิดเพลินแบบไม่รู้ลืมเลย


แน่นอน.....ถ้ามีการจัดงานมอเตอร์โชว์ใหญ่ ๆ แบบนี้เกิดขึ้นนะ แล้วสิ่งที่คู่กันนั้นก็คือการประกวดมิสมอเตอร์โชว์

และปีนี้ก็จะเป็นการประกวด "มิสมอเตอร์โชว์ประจำปี 2554 " เหมือนดังปีก่อน ๆ ที่แล้วมา แหละจะมีสาว ๆ ของแต่ละ "บูท" คอยอธิบายในรายละเอียดของแต่ละสินค้าให้ท่านฟังอย่างเพลิดเพลินทั้งตาและใจเลย  

สำคัญเลยถ้าท่านได้ไปชมงานนี้นะ ....อย่าพลาดเชียว.....เตรียมกล้องไปถ่ายภาพทั้งรถยนต์และนางแบบด้วยครับ ประเภทที่กล่าวได้ว่า "สวยบาดใจ" มันเกิดขึ้นที่งานนี้แหละ ...ท่านเอ๊ย...


 สำหรับสาว ๆ ท่านใดที่สนใจก็สมัครเข้าร่วมประกวดได้ ขอให้มีอายุในช่วง 16-22 ปี และส่วนสูงตั้งแต่ 165 ซม. เป็นต้นไป ข้อแม้......อีกอย่างนะ ขอให้เป็นหญิงแท้ ๆ เท่านั้น


ส่วนที่เป็นประเภทสอง ประเภทสาม หรือ กระทั่งสี่,ห้า นั้น ขอร้องซักเพลงเถอะ งานนี้ "พี่" ขอละกัน ซักงานนะ








ในภาพนี้คือ "มิสมอเตอร์โชว์ ปี 2553" ซึ่งมีทั้งหมด 6 สาวสวยด้วยกัน หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารัก น่าชัง เป็นยิ่งนัก ก็เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่ประทับใจไม่รู้ลืมของผู้เข้าประกวดในครั้งนี้


ภาพสาวสวยด้านบนขวามือนั้นเป็นภาพของสาว ๆ ที่เข้าประกวดเมื่อปีที่แล้วหรือปี 2553 นั่นเอง..........

และภาพดังต่อไปนี้จะเป็น "ภาพมิสมอเตอร์โชว์ปี 2554" ซึ่งท่านอาจจะเปรียบเทียบว่าสาว ๆ ทั้งสองปีนั้นปีไหน "แหล่ม" กว่ากันก็พิจารณากันเอาเองนะครับ  

สำหรับ "สาวสวย" ที่เข้าประกวด "มิสมอเตอร์ปี 2554" นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร และมีใครบ้าง สวยถูกใจแบบเรา ๆ ท่าน ๆ มั้ย สายตาของกรรมการ "แตกต่าง" จากเรามองหรือเปล่า อย่านึกเลย เรามาติดตามกัน

ลำดับความสำคัญ จะเรียงจากด้านบนลงด้านล่าง และเริ่มจากซ้ายไปขวา เป็นดังนี้

สำหรับตำแหน่ง “มิสมอเตอร์โชว์ 2011” สาวสวยที่คว้ารางวัลนี้ไปครองคือ “น้องแตมม์ ญาณธิชา กัลยาณกุล” สาวเชียงรายวัย 20 ปี

กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาจุลชีววิทยาอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

รางวัลใหญ่ที่ได้รับคือรถยนต์ฮอนด้า "บริโอ" ซึ่งเป็นประเภท "อีโก้คาร์" ที่เน้นเรื่องประหยัดเชื้อเพลิง และยังมีอื่น ๆ อีกเยอะแยะ


รองอันดับที่ 1 เธอชื่อ "ธิติพร กิจสมัคร" อายุ 19 ปี หรือน้อง "กุ๊งกิ๊ง" (ไม่ใช่บะหมี่กุ๊งกิ๊งสำเร็จรูปที่วางขายตามท้องตลาดนะครับ คนละกุ๊งกิ๊งกัน) เธอสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนจากโรงเรียนนารีวุฒิ




รองอันดับที่ 2 เธอชื่อ "ซาร่าห์ สายสกุลเศรษฐ์" หรือน้อง "ซาร่าห์" อายุ 19 ปี

กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คนนี้เคยผ่านการประกวดมาทั้งเวทีนางสาวไทยและมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส จึงอาจจะทำให้คุ้นหน้าคุ้นตาบ้าง




รองอันดับที่ 3 เธอชื่อ "ยุวดี อทิตาชินภัทร" หรือน้อง "แฟง" อายุ 21 ปี กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยรังสิต คณะนิเทศศาสตร์ กรุงเทพมหานคร



รองอันดับที่ 4 เธอชื่อ "กัลยรัตน์ ขุนอาจ" หรือน้อง "อาย" อายุ 16 ปี กำลังศึกษาที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟทิพวัล





ท้ายสุดคือ
Miss Congeniality
ได้แก่ "อาดีละ ซอบรี" หรือน้อง "อาร์" อายุ 20 ปี กำลังศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

......และสาวสวยทั้งหมดนี้ก็เฉพาะที่ได้เข้าประกวดแล้วได้รับรางวัลสำคัญ ๆ นะครับ ยังมีอีก "เพียบ" ตามแต่ละ "บูท" แสดงต่าง ๆ

ซึ่งสวยถูกตาต้องใจชายอย่างเรา ๆ หรือแม้แต่ตัวกระผมเองก็ "ประทับใจ" จริง ๆ อย่างไรเสีย การถ่ายภาพก็ถ่ายในส่วนที่ควรจะถ่ายนะครับ ไม่เช่นนั้น "ถูกฟ้อง" ข้าน้อยไม่รับผิดชอบด้วยน๊า....

..แล้วพบกันที่งานครับ.. เมื่อเข้าไปเยี่ยมชมงานแล้ว สังเกตุได้ว่าแนวตลาดรถของปีนี้จะเน้นไปทางรถประหยัดหรือ "อีโก้คาร์" และแบบ "ไฟฟ้าทั้งคัน" เลย

ซึ่งหลายค่ายก็นำมาแสดง ถ้าเป็นทางไฟฟ้าล้วน ก็มีทั้ง โตโยต้า และ นิสสัน และถ้าเป็นรถประหยัดหรือ Eco Car นั้น ก็มีหมดทุกค่าย

ต่อไปเป็นภาพ "ในงานมอเตอร์โชว์"




































วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

Earth Quake in Japan On March 11 2011


คลื่น "สินามิ" ในประเทศญี่ปุ่นครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันนี้ 11 มีนาคม ปี 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่น เราเรียกชื่อตาม "ฉายา" ภาษาญี่ปุ่นที่ตั้งชื่อไว้ว่า "สินามิ" หรือ "น้ำทะเลไหลล้นเข้าท่วมฝั่ง"

เหตุเกิดจากมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่มหาสมุทรแปซิฟิก แผ่นดินไหวเราจะแยกเป็น 2 ประเภท คือ
1. แผ่นดินไหวที่เกิด "บนบก" และ
2. เกิดใน "ทะเล"


ถ้าเกิดบนบก จะทำให้บรรดาบ้านเรือน, ถนนหนทาง และสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในบริเวณนั้นสั่นสะเทือนและได้รับความเสียหายโดยตรง

แต่ถ้าเกิดขึ้นที่ทะเล จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเช่นกัน แต่จะมีเพิ่มเติมคือมี "คลื่นยักษ์" เข้าถาโถมฝั่งหรือที่เรียกกันว่า"สึนามิ" นั่นเอง 



ท่านสามารถ"พิสูจน์"หรือ "ทดลอง" การเกิดการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ที่ "ศูนย์วิทยาศาสตร์คลอง5" จังหวัดปทุมธานี 

แล้วท่านจะทราบถึงการเกิดแผ่นดินไหวได้เลย ...ว่ามันเป็นอย่างไร...





การเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้จะอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวค่อนไปทางทิศเหนือของประเทศญี่ปุ่นห่างเป็นระยะทางประมาณ 382 กิโลเมตร  



ความเป็นจริงแล้วการเกิดแผ่นดินไหวนั้นไม่ได้ไกลฝั่งมากเลย ห่างจากฝั่งระยะไม่เกิน 70 กม. ซึ่งจุดศูนย์กลางนั้นอยู่ใกล้ปลายเกาะฮอนชูมาก

ซึ่งเป็นแนวเดียวกันกับเกาะฮอกไกโดซะด้วย ในการเกิดแผ่นดินไว้ครั้งนี้สามารถวัดแรงสั่นสะเทือนได้ประมาณ 8.9 ริกเตอร์

ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ "สินามิ" สูงประมาณ 7 เมตร ไหลล้นฝั่งหรือแผ่นดินที่อยู่อาศัยของผู้คน

ซึ่งน้ำที่เข้าท่วมบ้านเรือน ร้านค้า โรงงานที่อยู่ริมฝั่งทิศตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นจะเป็นลักษณะ "ค่อย ๆ" ไหลเข้าท่วม และเป็นลักษณะ "คลื่นกระทบฝั่ง" เหมือนที่เคยเห็น ๆ กันมา

บริเวณที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ริมฝั่ง Miyagi (มิยากิ) บนเกาะ "ฮอนชู" เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ ทำให้รถไฟใต้ดินต้องหยุดวิ่ง ตึกสูง ๆ ในมหานครโตเกียวเกิดการสั่นสะเทือน

จึงทำให้ผู้คนต้องออกจากสถานีรถไฟและออกจากตึกสูง ๆ เหล่านั้น ยังผลทำให้เกิดความ "โกลาหล" เป็นยิ่งนัก  

รัฐบาลจะกำหนดไว้ว่า บริเวณใดที่เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบกับแผ่นดินไหวจะไม่ให้สร้างตึกสูง ๆ ซึ่งเป็นการป้องกันอันตรายอีกวิธีหนึ่ง

เกาะใหญ่ ๆ ของประเทศญี่ปุ่นเองจะมีทั้งหมด 4 เกาะ เกาะที่ใหญ่สุดของประเทศคือเกาะ "ฮอนชู" คือผืนแผ่นดินใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

โดยตั้งอยู่ตรงกลางของประเทศ เพราะเกาะทางด้านทิศเหนือสุดคือ เกาะฮอกไกโด และ ทิศใต้ของญี่ปุ่นจะเป็นเกาะ คิวชู

ส่วนอีกเกาะคือ เกาะชิโกกุ นั้นก็ใกล้เคียงแต่ไม่ใช่ใต้สุด แต่เกาะแก่งทั้งหมดของญี่ปุ่นเองจะนับได้ประมาณ 4,658 เกาะ หนึ่งในนี้คือเมือง "สึ" ครับ

เมืองสึนี้เป็นเมืองที่อยู่ทางภาคกลางของประเทศญี่ปุ่นอยู่บนเกาะ "ฮอนชู" นี่แหละครับ ฉะนั้นจึง "ไม่ค่อย" ได้รับผลกระทบกับคลื่นสินามิโดยตรง

จะกระทบแบบอ้อม ๆ เพราะจะมีแผ่นดินส่วนหนึ่งกันคลื่นไว้ ฉะนั้น บริเวณเมือง "สึ" นี้จะมีน้ำค่อย ๆ เข้าท่วมบางแห่งเท่านั้นก็คล้าย ๆ บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีน้ำขึ้นสูงซัก 30 ซม.


ดังนั้น..ก็จะคล้ายกับน้ำที่ล้นถังเก็บไม่มีแรงกระแทกมากมายที่เมือง "สึ" ครับ ที่ได้กล่าวแบบเน้น ๆ ที่ "เมืองสึ" นี้เพราะว่าที่แห่งนี้เป็นที่ซึ่ง "น้องชาย" ของกระผมเอง (น้องชายของ "กระดิ่งทอง") อาศัยอยู่ที่เมืองสึนี้พร้อมกับครอบครัวรวม 4 ชีวิต  

"เมืองสึ" ถือได้ว่าเป็นเมืองที่สงบไม่พลุ๊กพล่านอย่างเมืองใหญ่ ๆ การใช้ชีวิตของ "น้องหรั่ง" ในญี่ปุ่นโดยไม่นับรวมสมัยไปเรียนปริญญาโทก็นับรวมได้ 4 ปี แล้วขอรับ


เหตุที่ได้ไปอยู่เมืองนี้เพราะไปเรียน "ด๊อกเตอร์" ด้านวิศวกรรม ได้ทุนของ กพ.ไปครับ ซึ่งก็เหลือเวลาที่จะจบอีก 2 ปีข้างหน้า ป่านนี้ยังไม่ทราบว่า เป็นอย่างไรครับ

หลังจากนั้น ตอนดึก ๆ ถึงจะติดต่อกันได้ ก็ปลอยภัยดีทุกคนครับ น้องบอกว่า เขาใส่ใจและแจ้งการ "เตือนภัย" แบบดีเยี่ยมและขนคนออกจากพี้นที่ได้ดีมาก ก็ "สบายใจ" ขึ้นเยอะครับ

ณ. เมืองสึ เมืองสึนี้เป็นเมืองเล็กเมืองหนึ่งในจังหวัด "มิเอะ" หลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคยชื่อของเมืองแห่งนี้


เมือง "สึ" นั้นอยู่ไม่ไกลจากเมือง "นาโงย่า" ซักเท่าไรพื้นที่เขตแดนติดกันเลย บริเวณแต่ละจังหวัดของประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ประมาณแต่ละจังหวัดของประเทศไทยแหละครับ

เมือง "นาโงย่า" นั้นตั้งอยู่ในจังหวัด "ไอจิ" ซึ่งที่นี่ก็จะมีสนามบินที่ดัง นั่นคือ สนามบินนาโงย่า หรือชื่อทางการคือ "Central Chuba"

สนามบินนาโงย่าก็สร้างขึ้นมาจากการถมดินซึ่งอยู่นอกชายฝั่งห่างออกไปประมาณ 4 กม.

สนามบินที่เกิดจากการถมดินในทะเลของประเทศญี่ปุ่นเองนั้นมีด้วยกัน 2 ที่ คือ "สนามบินนาโงย่า" และ "สนามบินคันไซที่โอซาก้า"

ลักษณะการขนส่งผู้โดยสารจากสนามบินไปฝั่งก็ทำได้โดยรถไฟและเรือข้ามฝาก เพราะบางจุดรถไฟไม่ได้วิ่งผ่าน

ดังนั้น..ก็จะสัญจรโดยเรือข้ามฝาก เช่น ถ้าจากสนามบิน "นาโงย่า" จะไปที่ "เมืองสึ" ก็จะมาด้วยเรือข้ามฝากก็ได้ จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 45 นาที รถไฟฟ้าก็มาได้แต่เส้นทางจะอ้อมมาก

จากเหตุการณ์ "แผ่นดินไหว" นั้น สิ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงอีกแห่งหนึ่งคือโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ริมฝั่งทะเลของญี่ปุ่น

ส่วนหนึ่งของโรงงานคือจุดที่เป็นถังเก็บก๊าซ "LPG" หรือ "ก๊าซหุงต้ม" ในบ้านเรือนเรานี่แหละ เกิดการลุกติดไฟ ทำให้มีไฟไหม้เสียหายทั้งหมดเลย

 
เรามีภาพขณะที่น้ำไหลเข้าท่วมล้น "สนามบินเซนได" สนามบินแห่งนี้ที่ตั้งอยู่ "ริมทะเล" ยังโชคดีมากที่ขณะนั้นไม่มีเครื่องบินจอดให้บริการ

การไหลของน้ำเข้าท่วมสนามบินครั้งนี้เร็วมาก และท่วมสูงด้วย คาดว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เสียหายจากแรงกระแทกของน้ำเยอะมาก

เหตุการณ์แบบนี้หรือแบบไหน ๆ เราก็ไม่อยากให้เกิด สิ่งที่เกิดจากธรรมชาติคนเราพยายามติดตามและป้องกัน แต่...บางครั้งก็สุดวิสัยเกินกว่าจะรับไว้ได้

รวมภาพการเกิด "สึนามิ" ของญี่ปุ่นปี 2554



ภาพน้ำเข้าท่วมสนามบิน "เซนได"