
ครอบครัว "กระดิ่งทอง" ก็เดินทางไปชมงานครั้งนี้ด้วย ไม่ได้ไปวันธรรมดา..แต่..เป็นวันหยุด ดังนั้นจึงทำให้มี "คนเยอะมาก" การจราจรก็ติดขัด จอดรถก็ยาก กว่าจะจอดรถได้ใช้เวลากว่าชั่วโมง และกว่าจะ
ออกได้ก็กว่าชั่วโมง

การจัดงานแสดงรถยนต์ชื่อนี้ไม่ใช่ที่ "ไบเทคบางนา" เป็นเวลาสองปีแล้ว จึงทำให้ "ครอบครัวกระดิ่งทอง" ต้องเดินทางข้ามฝั่งของกรุงเทพมหานคร จากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ต้องเพิ่มระยะทาง เพิ่มเวลา เพิ่มค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าทางด่วน สำหรับค่าบัตรผ่านประตูก็ยังคงสถานะที่ 100 บาท เช่นเดิม (สำหรับผู้ใหญ่)
เมื่อเข้ามาในงานบริเวณตรงกลาง ๆ ก็จะพบกับอุปกรณ์ตกแต่งของรถยนต์ยี่ห้อ "เมอซิเดส เบนซ์" เป็นยี่ห้อ
"คาร์ลสัน" ทำให้สำเนียงคล้ายกับ "ถุงเท้าคาร์สัน"
คาร์ลสัน..เป็

การเปิดตัวนั้นก็สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก ทำเอา "บรรดาหนุ่ม ๆ " นั้น "กระปี้กระเปล่า" มีชีวิตชีวิตอีกครั้ง ทำให้บรรยากาศในขณะที่ชมงานนั้น มีการสูบฉีดของเลือดและหัวใจเต้น "อย่างแรง"
ซุ้มที่สอง...นั้นเป็น "ฮุนได" หรือภาษาเกาหลีเรียกว่า "ฮึนเด" รถยนต์ฮุนไดเป็นรถ

นั่นเพราะว่าประเทศเกาหลีใต้มีโรงเรียนสำหรับการออกแบบรถยนต์ที่ดีและสวยงามด้วย จึงทำให้นักศึกษาของเกาหลีใต้เองมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างมาก หลาย ๆ คนมีโอกาสได้ทำงานออกแบบรถยนต์ในประเทศแถบยุโรป
สำหรับรุ่นที่ดัง ๆ และมีชื่อเสียงจะมีอยู่ด้วยกันสองรุ่น และออกแบบได้สวยงามมากนั่นคือ รุ่น "โซนาต้า" และรุ่น "อีลันตร้า"
ภาพด้านซ้ายมือ..คือรถยนต์ฮุนได รุ่น โซนาต้า ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาที่บาดตา,บาดใจมาก การออกแบบก็ สวยงาม สดุดตา
เมื่อดูจากภาพที่ได้เห็นนั้น สวยงามและเด่นมากสำหรับการออกแบบ
ภาพซ้ายมือนี้คือเป็น "บั้นท้าย" ของรถยนต์ฮุนไดรุ่น อีลันตร้า เมื่อแรกพบแล้ว ต้อง "สดุด" กับสายตาเป็นอย่างมาก
สำหรับ "รถยนต์ฮุนได" นั้นเริ่มแรกได้ซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัทมิตซูบิชิ เพื่อมาเป็นต้นแบบ จนบัดนี้ได้พัฒนาเทคโนโลยีเป็นของตัวเองแล้ว

แม้แต่ "สาวงาม" ที่ประจำบู๊ทของฮุนไดเองก็สวยและงามยิ่งเหลือเกิน คงจะถูกอกถูกใจสำหรับท่านที่ชอบแนว "เกาหลี" เป็นอย่างยิ่ง บริษัทฮุนไดนั้นไม่ได้มีเฉพาะรถยนต์ที่มีชื่อเสียงเท่านั้นนะคุณ ยังมี "อู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก" อีกด้วยตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันออกของประเทศ
หนึ่งในนั้นก็แนะนำรถนั่งคล้ายรถตู้อีกรุ่นนั่นคือ "สปาดะ" รถยนต์รุ่นก่อนที่มีรูปร่างตัวตนคล้าย..ฮอนด้า..รุ่น สปาดะ นั่นคือรุ่น Freed (ฟรีด) ความคล้ายที่มีอยู่ เมื่อมองแล้วก็สวยงามกันไปคนละแบบ
ด้วยรถประเภทนี้ก็จะมีความจุกระบอกสูบไม่มาก ไม่ต้องการให้วิ่งเร็ว เพราะต้องการประหยัด แต่เท่าที่เห็นบนท้องถนนก็ขับกันเร็วไม่น้อย
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ก็จะมีรุ่นที่ติดตลาดอยู่สองรุ่นคือ มาสด้า3 และ มาสด้า2
สำหรับมาสด้า2 นั้นจะเน้นไปที่ "วัยสะรุ่น" หรือ "คนยุคใหม่" ที่เพิ่งจบและได้งานทำ รวมไปถึงวัยที่ทำงานแล้วและต้องการมีรถเป็นคันแรก ดังนั้น..จึงตรงใจกับคนหลายคน
อุปกรณ์ตกแต่งของทางห้างมีให้นั้น ปัจจุบันก็จะนิยมเป็นแสงไฟที่เรียกว่า "เดย์ไลท์" (แสงไฟกลางวัน) แสงไฟประเภทนี้จะใช้ในเขตประเทศหนาว..โดยเฉพาะยุโรป การใช้งานคล้าย ๆ ไฟตัดหมอก แต่ไฟเดย์ไลท์ จะเป็นเพียงแค่บอกว่า "มีรถวิ่งอีกคันนะ" ไม่ได้ต้องการการส่องสว่าง

ขณะนี้หลอดไฟชนิด LED พัฒนาถึงขึ้นใช้แทนโคมไฟหน้ารถได้แล้ว ส่วนใหญ่จะใช้กับรถยนต์ราคาแพง ๆ ความส่องสว่างทำได้เท่ากัน กินไฟน้อยมาก ๆ ..แต่..ราคายังแพง คงต้องรอให้จีนผลิตได้ก่อน แล้วราคาจะถูกลงอีกเยอะ
รถยนต์รุ่นนี้จะมีความจุประมาณ 1200 CC. มีจำนวนกระบอกสูบ 3 สูบ
รถกระบะนั้นก็มีเป็น "นิสสัน นาวารา" ซึ่งเป็นรถยนต์ยี่ห้อแรกในประเทศไทยที่มี 6 เกียร์ เดินหน้า (สำหรับคนที่ยังไม่เคยขับ..ก็คงมี "ยัก" ไว้ซักเกียร์แหละน่า)
การผลิตจะผลิตขึ้นมาไม่มากในแต่ละรุ่น ดังนั้นราคาจึงแพง แต่ก็เป็นที่สนใจของคนมือหนัก หรือจะถูกครอบครองโดย "เจ้าขุน..มูลนาย" ซะเป็นส่วนใหญ่ ในแต่ละรุ่นจะมีซัก 300 คัน เท่านั้น
สนนราคานั้นก็จะเริ่มตั้งแต่ 30,000,000 บาท ขึ้นไป ถ้าเรียกอีกอย่างก็จะเป็นได้ว่า "เป็นสินค้าคนรวย..ที่คนสูงอายุชอบ" เป็นสินค้าของประเทศเยอรมัน
รถยนต์เหล่านี้ไม่ใช่แพงแล้วไม่มีดี จะใช้อุปกรณ์ที่พิเศษแทบจะทั้งหมด กระจกชนิดสองชั้น..กันเสียงได้เป็นอย่างดี และสามารถกันกระสุนปืนยาวได้
การทดสอบรถของ "โวลโว่" นั้น จะนำรถยนต์กลิ้งลงจากเขาเลย สภาพของรถนั้น "ไม่ยับ" จึงทำให้เป็นสโลแกนของโวลโว่ว่า "ทุกชีวิตปลอดภัยในโวลโว่"
โวลโว่..ทำสินค้าที่เป็นรถยนต์ประเภทรถบรรทุกด้วย ส่วนสินค้าที่เป็นรถยนต์นั่งนั้นปัจจุบันได้ขายลิขสิทธิ์ไปให้ ประเทศจีน แล้ว โดยยี่ห้อรถยนต์็ของจีนชื่อ "จีลี่" ซื้อไป
จึงทำให้เราเห็นรถยนต์โวลโว่รุ่น V60 ทำราคาได้ที่ 2,246,000 บาท ได้ ภาพที่น่าสนใจดูได้ที่นี่เลย http://men.mthai.com/car/content/6219
ความแข็งแรงก็ยังดีเช่นเดิม รูปลักษณ์ก็สวยงามขึ้นมาก
เป็นรถยนต์ของประเทศเยอรมัน มีทั้งเครื่องยนต์ ดีเซล..และ..เบนซิน ถือได้ว่าเป็นสินค้าที่คนพร้อมจ่ายที่ราคาไม่เกิน 5,000,000 บาท สามารถเป็นเจ้าของได้
เมอซิเดส เบนซ์ แต่ก่อนได้ฉายาว่าประกอบรถยนต์ทั้งคันแล้วมีจุดที่ต้องเข้าไปแก้ไขน้อยที่สุดคือ 6 จุด เท่านั้น ..แต่..
ปัจจุบันนี้ Lexus (เล็กซัส) ของญี่ปุ่นทำได้ดีกว่าคือเหลือแค่ 4 จุด เท่านั้น
รถยนต์ของประเทศเยอรมันนี จะมีความจุกระบอกสูบไม่มาก แต่.."ให้แรงม้ามาก" นั่นเพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัยและก้าวไกลมากนั่นเอง
เมอซิเดส เบนซ์ เป็นสินค้าของเมือง "สตุ๊ดการ์ด" คล้ายสินค้า "โอทอป"แต่เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ ด้วยความที่เป็นรถที่หรูหรา ทำให้ค่ายญี่ปุ่นพยายามจะเลียนแบบรุ่นไปด้วย
ทั้งคู่เป็นพันธมิตรกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ดังนั้น อะไรที่มีที่เยอรมัน ก็จะพบเห็นได้ที่ญี่ปุ่นเช่นกัน


ตัวอาคารที่ทันสมัยมาก ผลิตกระแสไฟจากโซล่าเซลที่ติดตั้งอยู่บนหลังคาขนาดกว่า 800 kW สามารถเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าของตัวอาคารได้เกือบทั้งหมด
และอีกอาคารหนึ่งจะเป็นสำนักงานใหญ่ของ "บีเอ็มดับเบิลยู" ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน รูปทรงจะเป็นคล้ายกระบอกสูบสี่ลูกติดกัน สูงเด่นมองเห็นได้แต่ไกลเลย
ซุ้มที่สิบ...คือ ซันยอง นี่เป็นรถยนต์ประเทศเกาหลี เริ่มแรกก็ซื้อเทคโนโลยีของรถยนต์เมอซิเดส เบนซ์ จากนั้นก็พัฒนาเป็นของตัวเองมาเรื่อย ๆ
ซันยอง..นั้นเป็นบริษัทที่ใหญ่มาก คล้ายกับ "ทาทา" ของประเทศอินเดีย หนึ่งในนั้นคือ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ..รับงานไปทั่วโลก..
เมื่อครั้งนั้น วัฒนธรรมของประเทศเกาหลี เมื่อเข้าห้องน้ำ (ถ่ายหนัก หรือ อึ) เมื่อนั่งถ่ายนั้นจะต้อง "เบ่ง" หรือ "ออกเสียง..ดัง ๆ " เขาชี้แจงว่า จะได้มีแรงเบ่ง และ จะได้ขับถ่ายรวดเร็ว ซึ่งไม่เป็นการ "อาย" แต่เป็น "ธรรมชาติ" หรือเรื่องปกติเลย แต่คนไทยอย่างผม "ไม่คุ้น"
จึงหาสาเหตุกัน..ท้ายสุดได้ความจริงว่า "คนเกาหลี" นี่เอง ทั้งส่งเสียงดัง และ ขึ้นไป "นั่งยอง ๆ" บนฝาชักโครกด้วย เพราะมีรอยรองเท้าที่เช็ดไม่หมดหลงเหลือให้เห็นไง
แปลกใจตรงที่ว่า บริษัทที่เป็นของคนไทยใหญ่ ๆ ก็มี..แต่..ทำไม "ประมูล" งานไม่ได้ เพราะเงินจะได้หมุนเวียนอยู่ในเมืองไทยไง และโรงงานนี้ก็เป็นบริษัทของคนไทยด้วย...
ซุ้มที่สิบเอ็ด...คือ ฝอร์ด ฝอร์ด..เป็นสินค้าของประเทศอเมริกา และปัจจุบันนี้ถือเป็นสินค้าประจำชาติของอเมริกา สำคัญเมื่อปี 2550 เกิดเศรษฐกิจซบเซาไปทั่วโลก หรือที่เรียกว่า "วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" รถยนต์หลายยี่ห้อต้องปิดตัวเองลงเพราะสู้พิษเศรษฐกิจไม่ไหว
แต่ชาวอเมริกันจะไม่ยอมให้รถยนต์ยี่ห้อ "ฝอร์ด" ล้มตามไปด้วยด้วยเด็ดขาด เพราะถือเป็นรถยนต์ประจำชาติของอเมริกา และถ้ารถยนต์ยี่ห้อนี้จะล้มจริง ๆ ชาวอเมริกันจะช่วยกันซื้อรถยี่ห้อนี้เพื่อให้ดำเนินกิจการต่อไปได้
เมื่อประมาณปี 1910-1911 ชนชาติอเมริกันพร้อมใจกันสร้างชาติอีกครั้ง และมีการตกลงที่จะผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่าย รวมทั้งหมด 67 ยี่ห้อ
ในจำนวนรถที่ผลิตนั้นมีทั้งที่เป็นชนิดเครื่องยนต์ที่ใช้ "น้ำมัน" เป็นเชื้อเพลิง และใช้ "ไฟฟ้า" ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะถนัดทางใด ส่วนสินค้าของใครจะอยู่ได้ก็แล้วแต่ยอดขาย
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ยี่ห้อรถยนต์ต่าง ๆ ก็ล้มหายตายจากไปตามรายทางเรื่อย ๆ (ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ http://gradingthong.blogspot.com/2010/09/blog-post_17.html) จนเมื่อปี 2011 "ฝอร์ด" ก็มีอายุครบ 100 ปี ...แต่...ฉลองการครบ 100 ปี แบบไม่สวยนัก
รถยนต์ฝอร์ดปีนี้มีรุ่นกระบะชื่อ "Ranger" มีรูปทรงที่ใหญ่กว่ารุ่นเดิม และสวยงามกว่าด้วย ใช้เทคโนโลยีร่วมกับยี่ห้อ "มาสด้า" กระบะ BT-50 เพื่อเป็นการลดต้นทุน และต่อ ๆ ไปยิ่งจะใช้อุปกรณ์ร่วมมากขึ้นสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์
สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) จะมีที่ดัง ๆ และสวยงามก็คือรุ่น เฟียสต้า (Fiesta) โดยโครงสร้างของตัวรถจะใช้โลหะชนิด "โบรอน" ซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่เท่ากับเหล็ก..แต่ไม่นับรวมราคาต่อน้ำหนัก
ฉะนั้นเมื่อแข็งแรงมากกว่า จึงลดน้ำหนักของตัวรถได้ และนับรวมถุงลมสำหรับความปลอดภัยรอบคันถึง 7 จุด สำหรับรูปทรงของตัวรถนั้น "สวยงาม" "โฉบเฉี่ยว" "ต้องตา..ต้องใจ" เมื่อพบเห็น
ปัจจุบันนี้(2555) ก็มีชื่อที่เรียกกันว่า "บิ๊กทรี" (ฺBig Three) เพราะว่าเหลือเพียงสามยี่ห้อเท่านั้นที่ใหญ่ ๆ คือ Ford ,Chevrolet, Gm นอกจากนี้มักมีความสั่นคลอนด้านการเงิน

จากทั้งหมด "แปดยี่ห้อ" ที่ช่วยกัน "ฟื้นฟู" ประเทศของเขา
สำหรับในงานนี้รุ่นรถที่เป็นดาวเด่นคือ มิตซูบิชิ "มิราจ" เป็นรถนั่งส่วนบุคคลที่เน้นประหยัด มีส่วนช่วยสนับสนุนโครงการรถเล็กของรัฐบาลไทยด้วย ขนาดเครื่องยนต์ 1200 CC. จำนวน 3 สูบ มีหลายสีให้เลือก

ความหมายของ "มิราจ" คือ เมื่อเราอยู่บนท้องถนนตอนกลางวัน และมีแสงแดดมาก ๆ แล้วมองไปข้างหน้าจะเห็นเงาสะท้อนคล้ายมีน้ำบนท้องถนน
ตีความได้ว่า เราไม่สามารถจะตามเงานั้นทันได้เลย หรือ ไม่มีใครตามรถรุ่นนี้ได้ทัน..นั่นเอง
สำหรับปีนี้มีรุ่นใหญ่เข้ามาจำหน่ายในชื่อ "ปาเจโร่" ด้วย โดยใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 3,000 CC. จำนวน 219 แรงม้า
เหตุผลหนึ่งที่ไม่เกิน 220 แรงม้า เพราะประเทศไทยจะต้องให้เสียภาษีขึ้นไปอีกระดับ ซึ่งจะแพงกว่ามาก
มิตซูบิชิ เข้ามาขายสินค้าในประเทศไทยเป็นเวลานานมาก ใกล้เคียงกับหลาย ๆ บริษัทรถของญี่ปุ่น ดังนั้น จึงทำให้เป็นที่เชื่อถือของคนไทยโดยทั่วไป

ปัจจุบันนี้การติดตั้งระบบแก๊สให้กับรถยนต์เป็นไปอย่างง่ายดาย (เฉพาะแก๊สชนิด cng เท่านั้น) และหลายบริษัทรถหลักก็ไว้วางใจให้มาติดตั้งเป็นประเภทออกจากโรงงาน (ติดตั้งภายหลังจากสั่งซื้อแล้ว ไม่ได้ติดตั้งมาจากโรงงานโดยตรง)
นั่นคือการติดแก๊สจากที่ scg autogas โดยเข้าไปดูผลงานการติดตั้งได้ที่ www.flazhautogas.com ไม่ต้องกังวลใจกับการติดตั้ง เพราะบริษัทรถสามารถรับประกันชิ้นส่วนทั้งหมดพร้อมกับรถยนต์ตลอดการใช้งาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร หรืออย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
โดยคิดค่าบริการติดตั้งแก๊สเพิ่มในราคา 65,000 บาท เมื่อตกลงซื้อรถและให้ติดแก๊สด้วย รถยนต์เมื่อออกจากบริษัทผลิต ก็จะวิ่งตรงเข้าไปติดแก๊สเลย ใช้เวลาประมาณ 7 วัน (เพราะต้องรอคิว) จากนั้นท่านก็มารับรถได้ที่โชว์รูมที่ท่านจองรถเลย

ถังแก๊สที่ติดตั้งมาให้จากบริษัทที่รับติดตั้งแก๊สนั้นจะใช้ถังแก๊ส "ประเภทที่สอง หรือ Type 2" คือใช้โครงสร้างส่วนใหญ่เป็นเหล็กแล้วใช้ใยไฟเบอร์ที่แข็งและเหนียวซึ่งมีน้ำหนักเบาห่อหุ้มถังแก๊สอีกชั้น โดยข้างถังจะ "ปั๊ม" ตัวอักษรไว้ว่า "ชนิด" หรือ "Type" ไหน
ถ้าเป็นปั๊มไว้ว่า "Type 2" จะต้องมีใยไฟเบอร์ห่อหุ้มไว้อีกชั้นด้วยเสมอ ถ้าไม่มี "ห้ามใช้เด็ดขาด" เพราะจะทนแรงดันเมื่อเติมก๊าซไม่ได้

ถ้าข้างถังบอกว่าเป็นถังประเภทสอง แล้วไม่มีใยไฟเบอร์ห่อหุ้มไว้ แสดงว่าถังนั้นจะรับแรงดันได้ไม่ถัง 200 BarG. ผลจะทำให้ "ถังแตก" ทันทีเมื่อแรงดันเข้าใกล้ 200 BarG. ถังแก๊สสามารถกันกระสุนปีนยาวได้ กระสุนจะทะลุถังเพียงฝั่งเดียวโดยถังไม่แตก แก๊สจะรั่วและไม่ติดไฟ ถ้าปีนสั้นจะยิงไม่ทะลุเลย สามารถเป็นเกราะกำบังให้ท่านได้ (เมื่อต้องการ)
ภาพที่เห็นเป็นกอง ๆ นี้ คือ "ตัวถังรถยนต์หลายรุ่น ทั้ง ไทรตัน (ทั้งรุ่นแค็บ..และ..สีประตู), ปาเจโร" ที่ไม่ผ่านคุณภาพ ทางบริษัีทก็จะนำมาทิ้ง เพื่อรอทำลายต่อไป โดยสถานที่นี้อยู่ที่โรงงานประกอบรถยนต์ที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
ผมเห็นพนักงานขับรถของบริษัทมิตซูบิชิ ตอนที่จะเคลื่อนย้ายรถไป ณ. ลานจอด..จะต้อง..เมื่อมองซ้าย-ขวาจากนั้นจะ "บีบแตร" ซึ่งก็เป็นข้อดีที่คนญี่ปุ่นก็ปฏิบัติอย่างนี้ตลอด นี่คือกฏระเบียบการขับรถที่ปลอดภัย
ภาพด้านล่างเป็นการโฆษณารถรุ่น "มิราจ" โดย ..นิชคุณ..
ตอนนี้เป็นตอนที่เห็นขณะทำ "โฆษณารถมิราจ"
ซุ้มที่สิบสาม..คือ ซูซูกิ เป็นรถยนต์ของประเทศญี่ปุ่นอีกค่ายที่สำคัญ ส่วนใหญ่ที่จะทำรถที่ไม่ค่อยใหญ่มากนัก
ค่ายรถยนต์ซูซูกิเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยก็นาน เีพียงแต่ไม่ "รุก" หน้าแบบเต็มตัวเท่าใดนัก
ปัจจุบันนี้เริ่มที่จะรุกหน้าด้านรถยนต์มากขึ้น และรูปลักษณ์ของรถยนต์ออกแบบเป็นที่ถูกตาต้องใจของประชาชนชาวไทยด้วย
ดังนั้น..ยอดจองในงานมอเตอร์โชว์ปี 2555 จึงมีมากแบบล้นหลาม ถึงขั้น "หยุดสั่งจอง" เป็นการชั่วคราว กลัวจะผลิตให้ไม่ทัน
ซึ่งถ้าผลิตให้ไม่ทันกับที่ประชาชนต้องไปขึ้นทะเบียนขอคืนภาษีซื้อรถเป็นคันแรก จะทำให้ผู้ซื้อไม่ได้คืนภาษีตามที่ตั้งใจไว้จากรัฐบาล คราวนี้ล่ะปัญหาก็คงจะมีให้เห็นบ้าง
โชว์รูมของรถยนต์ซูซูกินั้นก็เปิดให้บริการอยู่หลายจังหวัดทั่้วประเทศไทย อาจจะไม่ใหญ่เท่ากับบริษัทยนต์ที่มียอดขายเติบโตมาก ๆ ในเมืองไทย แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด
ส่วนท่านที่ชื่นชอบในรถรุ่นใดก็เชิญเข้าไปแวะชมได้..
เริ่มต้นด้วยการผลิต "เครื่องจักรทอผ้า" แล้วจึุงมีแนวคิดทำเป็นรถยนต์ใช้งานเอง และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นับรวมอายุอานามตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทรถยนต์มาเรื่อย ๆ จนถึงบัดนี้ (2555) รวม 75 ปีแล้ว
นับเริ่มตั้งแต่ก๋อตั้งบริษัทรถยนต์มานั้น ตลอด 70 ปี กำไรทั้งหมด พอเข้าปีที่ 71 ขาดทุน เนื่องจากเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกา ทำให้ต้องเกิดวิกฤษไปทั่วโลก สิ่งของจากที่เคยแพง ราคาตกต่ำเป็นประวัติการ
ก่อตั้งโดยนาย คิชิโร โตโยดะ ถือว่าก่อตั้งบริษัทในช่วงคาบเกี่ยวสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง รถยนต์ในเครือของโตโยต้ามีหลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น ไดฮัทสุ, ฮีโน่, เล็กซัส, และ ไซออน
ไซออน..เป็นชื่อใหม๋ใช้ในประเทศอเมริกา โด่งดังในกลุ่มวัยรุ่น เป็นรถที่ทันสมัย เหมาะกับวัยเพิ่งเรียนจบและเข้าทำงานใหม่ ๆ เป็นรถที่เจาะตลาดโดยเฉพาะ
ก่อตั้งบริษัทได้ 25 ปี ก็ขยายอาณาเขตออกนอกประเทศ ดังนั้น..ปี 2555 บริษัทโตโยต้า(ประเทศไทย) จำกัด จึงมีอายุครบ 50 ปี พอดีเลย
ปีที่ 49 ส่งรถให้กับลูกค้าไม่ทัน เพราะว่าผู้ส่งอะไหล่ถูก "น้ำท่วม" ทั้งในไทย และญี่ปุ่นเองโดนน้ำท่วมเพราะ "สึนามิ" ทำให้ส่ง "สมองกล" หรือ "ECU" ให้ไม่ได้ ต้องชะงักการผลิตไปชั่วคราว
ดังนั้น...เพื่อเป็นการ "กวาดรายได้คืน" จึงต้องทำอะไรให้เด่นมาก ๆ เช่น ครบรอบ 50 ปี ก็ต้องออกรุ่นรถเยอะ ๆ และทำโปรโมชั่นแยะ ๆ จึงได้ตั้งชื่อว่า "ร่วมทางตลอดมา เคียงข้างตลอดไป"
ดังเช่น เปิดตัวรุ่น "พริอุส" ทีีมี "แผงโซล่าเซลล์" บนหลังคารถ ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟไว้ควบคุมอุณหภูมิภายในรถยนต์เมื่ออุณหภูมิสูงถึงค่าที่ตั้งไว้ โดยจะ "เปิดหลังคา" ไว้บางส่วนเพื่อระบายอากาศร้อนออกสู่ภายนอก มักจะเป็นกรณีที่จอดรถตากแดด
แต่..ในอเมริกาจะออกแบบให้สามารถผลิตกระแสไฟจากแสงอาิทิตย์ขณะวิ่งได้แล้ว ในอนาคตแผงโซล่าเซลล์นี้จะผลิตกระแสไฟได้เร็วมาก และผลิตได้ตลอดเวลาจากคลื่นวิทยุ (รอทุนจากผู้ซื้อเยอะ ๆ ก่อนเพื่อนำไปพัฒนา..ไง)
ยังมีรถ "กระบะ" ที่ติดตั้งแก็ส CNG จากโรงงานโตโยต้ามาด้วย เนื่องจากปัจจุบันรถกระบะที่ใช้งานมีต้นทุนที่สูง และบริษัทต่าง ๆ ได้จำหน่ายรถกระบะเครื่องยนต์เบนซิน เพียงแต่ไม่ได้ติดแก็สจากโรงงานรถยนต์มาให้เลย
โตโยต้า..มีกฏดัง ๆ มากมายที่บริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกที่ต้องการพัฒนาต้องนำไปใช้ และอยู่ในบทเรียนระดับปริญญาโทและเอกที่ต้องเรียนรู้ ชื่อว่า TPS หรือ (Toyota Production System).
เป็นรถยนต์ที่ออกใหม่เมื่อปี 2554 ก็คือรถกระบะรุ่น โคโรลาโด้ (ก่อนหน้านั้นมีชนิดที่แถมพิเศษ..สามารถใช้ร่วมกับแก๊ส CNG ได้ด้วย) เป็นรถที่คนไทยนิยมใช้เช่นกันเพราะมีเฟืองท้ายที่ป้องกันการหมุนฟรีเมื่อตกหล่ม
ส่วนรถเก๋งนั้นก็ยังเป็นที่นิยมของชาวไทยด้วย เพราะติดแก๊ส CNG มาจากโรงงานในรุ่น Aveo
สำหรับรถประเภท SUV รุ่น Captiva ก็เป็นที่นิยมไม่น้อยเช่นกันเพราะขนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้เพียบเลย
เมื่อขึ้นเขาลงเขาจะควบคุมให้เองได้ด้วยเป็นบางส่วน ทำให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นเมื่อขับขี่ในที่ทุระกันดาน
คนไทยเองจะไม่ค่อยได้ยินชื่อนัก ถึงแม้จะเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยนานแล้ว
รถที่นำเข้ามาจำหน่ายมีอยู่หลายรุ่น เน้น ๆ นั้นจะเป็นรุ่น "วิว"
โดยรุ่น "วิว" นั้นจะเป็นรถในรูปทรงโบราณ แต่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ในรถระดับหรู จะถูกใจสำหรับคนที่รักรถประเภทโบราณ
ฉะนั้น...เราอาจจะเห็นรถยี่ห้อนี้ในเมืองไทยยาก
ปัจจุบันกิจการถูกขายไปให้กับออดี้ แต่ก็ยังขายในชื่อเดิม โดยเป็นรถสปอร์ตที่แท้จริง ในงานนี้นำมาสองสี คือ สีเทา-ดำ และ สีขาว
เมื่อเห็นแล้วถูกตาต้องใจสำหรับคนที่ชอบรถสปอร์ตเป็นยิ่งนัก แต่ละรุ่นผลิตออกมาไม่มาก
รถยนต์ลัมโบร์กินีใช้รูปวัวกระทิงเป็นสัญสักษณ์ เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ปีเกิดของผู้ก่อตั้งกิจการรถยนต์ยี่ห้อนี้นั่นเอง เขาคือ เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINE)
สำหรับมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 32 ชมได้ตามนี้ http://gradingthong.blogspot.com/2011/03/32nd-bangkok-international-motor-show.html
ด้านล่างนี้เป็นภาพที่บันทึกในงาน "เชิญชม" ได้ขอรับ..


















ด้านล่างนี้เป็น "ภาพเคลื่อนไหว" สำหรับงานมอเตอร์โชว์ปี 2555