วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันแม่แห่งชาติ 2555

สำหรับ "วันแม่แห่งชาติ" เดือนสิงหาคม ปี พศ. 2555 ครอบครัวอยู่เย็น "สนุก" และ "มีความสุข" มากเป็นพิเศษ

เนื่องจากว่า...ปีนี้ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบถ้วนหน้า

ห่างหายไปนานเกือบ 4 ปี ที่ "ครอบครัวอยู่เย็น" ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นกลุ่มใหญ่

..แต่..ความห่วงใย,ความคิดถึง..และความสนุกสนานยังมีอยู่เช่นเคย  มีการติดต่อสื่อสารกันอยู่เรื่อย ๆ เสมือนว่าอยู่ในประเทศไทยนี่แหละ

เพราะว่าน้องชายคนกลางที่่ไปศึกษาหาความรู้จาก "ท่านฤษี" ของประเทศญี่ปุ่น ได้กลับมาเยี่ยมเยือนพ่อและแม่แหละญาติ ๆ กันทั้งครอบครัว

ครอบครัวของหรั่งนั้นประกอบไปด้วย น้องฟูจิ ,น้องอิคิว ,หรั่ง และ สาว ซึ่งเป็นภรรยา

ก่อนหน้านี้ได้ไปเสนองานวิทยานิพนธ์ที่ "เมืองเซี่ยงไฮ้" โดยปกติแล้วมาตรฐานทั่วไป  นักศึกษาที่จะจบการศึกษาระดับปริญญาเอกได้..ต้องนำเสนอผลงานของตัวเองในประเทศ 2 ครั้ง และนำเสนอผลงานของเองที่ต่างประเทศ 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย

มหาวิทยาลัยใดนำเสนอผลงานต่างประเทศมากและได้ตีพิมพ์ยังนิตยสารที่อยู่ในเครือข่ายได้มาก อันดับของมหาวิทยาลัยนั้นก็จะเรียงอันดับอยู่ต้น ๆ (Ranking)โดยนับเรียงจัดอันดับโลก

มหาวิทยาลัยที่ "นายหรั่ง" เรียนอยู่จวนจะจบชื่อว่า "มหาวิทยาลัยมิเอะ" ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง "ซึ" Tsu (สำเนียงเขา...เวลาที่เราบอกชื่อเมืองเขามักจะบอกว่า..สึ..  เขาฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจ กว่าจะซื้อตั๋วรถไฟกันได้  เมื่อยทั้งปากและมือ) เว็บไซค์ของมหาวิทยาลัยก็ตามนี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Mie_University

เมือง "ซึ" อยู่ในเขตของเมือง "นาโงย่า" จังหวัดไอจิ  (เราก็จะคุ้นกับชื่อ..นาโงย่า มากกว่าจังหวัดไอจิ คล้ายกับเมืองไทยคุ้นชื่อกับ "หาดใหญ่" มากกว่าจังหวัดสงขลา)

สถานที่สำคัญ ๆ ที่ึขึ้นชื่ออยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมิเอะคือ หินแต่งงาน  เมื่อ 4 ปีที่แล้วครอบครัวกระผมไปญี่ปุ่นครั้งนั้นไม่ได้ไปชมหินแต่งงาน  คาดว่าปีหน้า(2556)จะได้ไปชมแน่ ๆ

หินแต่งงานแห่งนี้  เข้ามาประกอบฉากของภาพยนต์ไทยที่ไปถ่ายทำที่ญี่ปุ่นก็หลายเรื่อง รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของเขา และภูมิทัศน์ก็สวยงามด้วยเช่นกัน


จากนั้น..ก็จะนำมาถึงความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยนั้นนั่นเอง เปรียบเสมือนการนำชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยของตัวเองไปนำเสนอให้เขารู้จักกันทั่วโลก โดยใช้เงินลงทุนไม่มากนัก แต่เป็นการโฆษณาชื่อตัวเองให้เขาทราบด้วยการนำเสนอผลงานของตัวเองอยู่บ่อย ๆ 

เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจึงได้เดินทางต่อมาที่เมืองไทยเป็นเวลาประมาณ 2 อาทิตย์

โดย "นายตึง" (ภาพขวามือ) ได้ไปศึกษากับท่านฤษี ณ. มหาวิทยาลัยมิเอะแห่งนี้ด้วยเช่นกันเมื่อสมัยเรียนปริญญาตรี  ในภาพนี้..นายตึง..ได้หอมแก้มคุณแม่เนื่องในวันแม่แห่งชาติประจำปี 2555 เพื่อเป็นของขวัญให้กับคุณแม่ด้วยเช่นกัน

ก่อนนั้นหุ่นไม่อย่างนี้หรอกท่าน...กลัวขาดทุน กินแต่เบียร์ อาซาฮี ของเขามาก เนื่องจากราคาก็ไม่แพงและอากาศก็หนาวเหน็บ  เพราะบรรยากาศเป็นใจนั่นเอง หุ่นจึงได้เปลี่ยนไป

ก่อนจะถึงสนามบินสุวรรณภูมิที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามบินที่มีชื่อเสียงและสวยงามมาก ๆ ของเมืองไทย  ญาติ ๆ เกือบทั้งหมดจึงได้ชื่นชมกับเครื่องบินที่บินขึ้นบินลงที่สนามบิน โดยประมาณนาทีละ 1 ลำ 

ชมเครื่องบินอยู่เป็นเกือบครึ่งชั่วโมง มีทั้งเครื่องบินที่ใหญ่มาก จนถึงใหญ่มาก ๆ แบบสองชั้น นั่นเพราะเมืองไทยเราไม่สามารถผลิตใช้เองได้ จึงต้องคอยแต่ชื่นชมกับความสำเร็จของเขา 

คนที่มีความรู้เรื่องเครื่องบินมีมาก และสามารถที่จะสร้างเครื่องบินได้ แต่ หลาย ๆ อย่างไม่เอื้อที่จะให้ผลิตเองได้ ดังนั้น คนที่มีความรู้จึงต้องไปทำงานให้กับบริษัทที่สร้างเครื่องบิน เพื่อหารายได้ให้กับครอบครัวตัวเองต่อไป

มันเป็นความสุข และความสนุกของทุก ๆ คนที่ได้ไปต้อนรับการกลับมาเยี่ยมเมืองไทยของครอบครัว "อาหรั่ง" ในปี 2555 นี้


เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ   ก็เข้าไปเดินเล่นและถ่ายรูปภายในสนามบินรอเวลาเรื่อย ๆ 

เราได้นั่งรถที่ชั้นสามบริเวณใกล้กับทางออก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินไกลเมื่อ "ครอบครัวหรั่ง" มาถึง


สาเหตุที่ต้องขึ้นมานั่งชั้นสามเนือ่งจากชั้นสองบริเวณที่รอรับผู้โดยสายขาเข้าจะไม่มีที่นั่งรอ ฉะนั้นก่อนถึงเวลาจริงก็ขึ้นมานั่งรอบริเวณชั้นที่สามก่อนละกัน


การเดินทางไปรับหรั่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ เราใช้รถยนต์ไปรับถึง 3 คัน โดยใช้อีกคันหนึ่งเป็นรถที่บรรทุกสัมภาระกลับ

เนื่องจากว่าครอบครัวหรั่งก็ต้องเตรียมสิ่งของที่จำเป็นกลับเมืองไทยหลายอย่างเพราะจะจบการศึกษาในเดือนเมษายนปี 2556 หน้านี้แล้ว


อาจจะมีคำถามว่า ทำไมมีคนไปเยอะ แหม "บ้านนอก" จัง และก็นำรถไปเยอะด้วย  ถ้านั่งรวมกันแล้วจะ "อึดอัด" ถ้ารถน้อย พร้อมกับมีสิ่งของด้วย  

อีกกรณี ถ้าเราไปไหนมาไหน แล้วไม่มีคนสนใจที่จะไปรับไปส่งเลย จะไปไหน ๆ ก็ต้องจ้างหรือร้องขอ  แบบนี้ "น่าจะพิจารณา" ตัวเองซะแล้วมั๊ง

วันที่เดินทางกลับมาเมืองไทย ตารางเวลาเดิมจะถึงเมืองไทยวันที่ 27 กรกฏาคม 2555 เวลา 21.30 น. ช่วงนั้นมีพายุที่ก่อตัวแถบเมืองจีนและมีความรุนแรงมาก ทำให้ไม่สามารถนำเครื่องขึ้นบินได้ตามกำหนดเวลาเดิม จึงเลื่อนเวลาออกไปอีก 2 ชั่วโมง

ครั้นใกล้เวลาจะ 01:00 น. น้องนิ้งและญาติ ๆ ก็ย้ายจุดจากที่นั่งรอ เป็นผู้โดยสารขาเข้าซึ่งเป็นช่องที่สามที่ได้นัดกันไว้ เพื่อจะได้พบกันสะดวก ไม่ต้องพลัดหลงกัน

ถ้านับเวลารอตั้งแต่เย็นเลย รวม ๆ ก็ 7 ชั่วโมงแล้ว มันเป็นการรอที่ยาวนานเสียเหลือเกิน  แต่ทุกคนก็สนุกสนาน

มิหนำซ้ำ มีการตั้งวง "เบียร์" อีกด้วย กินไปหลายขวดสำหรับการรอครั้งนั้น  สอบถามแล้วทำให้เวลารอมันเร็วขึ้น (เร็วตรงไหน)
        ....ดูน้องนิ้งพาเราไปรอพบอาหรั่งกัน...


ดังนั้น.. ทำให้มาถึงเมืองไทยประมาณ 1 นาฬิกาของวันวันที่ 28 กรกฏาคม 2555 กว่าจะมาเจอกันได้ก็ 01.19 น. เมื่อเดินทางกลับระยองทำให้ถึงบ้านราว ๆ 04.11 น.

โอ๊ว...ว  ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนเสียจริง ๆ ธรรมชาตินี่บางครั้งก็ยิ่งใหญ่เสียจริง ๆ

..จากนั้นเราชมบรรยากาศต้อนรับเมื่อมาพบกันที่สนามบินดีฝ่า..


ด้วยความที่หลาน ๆ ฟูจิ และ อิคิว ไม่ค่อยได้พบปะกับผู้คนเยอะ ๆ จึงทำให้หลานทั้งสองคน "ตื่น" หรือ "ตกใจ" และ "กลัว" ใครจับก็ไม่ได้ร้องไห้ เข้าหาพ่อและแม่ของตนเอง

เป็นเรื่องปกติ แุทบจะกล่าวได้ว่าทุกครอบครัวที่ไปอยู่แบบครอบครัวเดี่ยว ๆ เมื่อกลับไปหาญาติพี่น้องลูก ๆ ก็กลัวที่จะเข้าหาผู้คนที่มาต้อนรับ

พอทักทายกันแบบหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับบ้านล่ะทีนี้ ...น้องนิ้งเป็นคนที่ชั่งสังเกตุ มองเห็น "อาหรั่ง" ของตนแต่งตัวแล้ว ..อดขำไม่ได้..

...แหม...ทำไมแต่งตัวได้ตามสบายซะแบบนี้ ลูกศิษย์ "เทพ โพธิ์งาม" หรือเปล่าเนี้ย ใส่รองเท้าแต่ไม่ใส่ถุงเท้า

...มาดูภาพระหว่างที่กำลังเดินทางออกจากจุดนัดพบกันหน่อย... 



เดินมาได้ซักพัก  จากความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ก็ทำให้สนิทสนมกันขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเพราะเด็ก ๆ สามารถเข้ากันได้กับทุก ๆ คน   

อาจจะเป็นเพราะว่า เมื่อเด็ก ๆ ไม่เกิดความกลัวเพราะผู้่ใหญ่ไม่ทำให้เด็กกลัว 

ฉะนั้น..ก็เลยทำให้ความเป็นมิตรต่อกันดีขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน น้องฟูจิและอิคิวจึงได้จูงมือเดินกับย่าได้

เดินคุยกันมาเรื่อย ๆ เนื่องจากไม่ได้พบกันนานหลายปี ทุก ๆ คนก็มีความสุข ต่างเห็นการเปลี่ยนแปลงของแต่ละฝ่าย  

ญาติเมืองไทยได้เห็นหลานที่โตและเดินได้แล้ว สืบเนื่องจากไม่ได้พบหน้ากัน 4 ปี แล้ว ได้เห็นก็แต่ใน "ยูทูบ" เพราะผู้เป็นพ่อได้ฝากไฟล์ไว้ แล้วญาติที่เมืองไทยก็คอยเปิดดูภาพหลาน ๆ ยามคิดถึง

เมื่อมาพบตัวจริงก็ "ตื่นเต้น" และ "ดีใจ" กันทุก ๆ คน 

แม้...เหตุการณ์จะผ่านมาได้ประมาณ 1 เดือน แต่  ในความทรงจำยังคล้ายกับเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

เราได้เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดที่ต้องขึ้นรถกลับบ้านกัน  ถึงแม้มันจะดึก ความง่วงก็ไม่มีอุึปสรรคใด ๆ กับความตื่นเต้นที่มีมากกว่า

         ...ชมภาพแห่งความชื่นมื่นละกัน..



 ช่วงที่อยู่เมืองไทยสองอาทิตย์ ก็ไม่ค่อยได้สังสรรค์กันเท่าไร เนื่องจากหลาน ๆ สองคนทั้ง ฟูจิ และ อิคิว ป่วยทั้งคู่ รวมทั้งอาสาวด้วย ต้องไปนอนพักรักษาที่โรงพยาบาลสิริกิติ์ อาการจึงจะดีขึ้น


เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็ให้มาพักผ่อนกับญาติ อาการจึงดีขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะได้สนุกสนานขี่รถเล่น ทำให้ลืมความเจ็บป่วย 

มันเป็นวิถีชีวิตของเด็ก ๆ อยู่แล้ว ถ้าอยู่นิ่ง ๆ ไม่่ค่อยได้เปื้อนฝุ่นหรือดินสุขภาพก็จะไม่ค่อยแข็งแรงซักเท่าไร เด็กบ้านนอกเลอะเทอะมอมแมมร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยป่วยไข้เท่าไร

นั่นเพราะว่าในดินมีแบคทีเรียที่คอยฆ่าเชื้อไวรัสให้อยู่แล้ว การเปื้อนดินจึงไม่ทำให้เสียหายอะไร ยิ่งสมัยก่อนนะ  บรรพบุรุษเราก็ให้เด็กคลุกดินคลุกฝุ่นนี่แหละ ร่างกายจึงแข็งแรงไง

ยิ่งเมื่อได้ขี่รถ ATV ด้วยแล้วก็สนุกสนานไปกันใหญ่ (go so big) เห็นรถ ATV เมื่อไรเป็นชี้ใส่แทบทุกครั้ง  ก็มีน้องนนท์เป็นสารถีให้นี่แหละ 

ช่วงที่หรั่งอยู่เมืองไทย คืนหนึ่งได้นั่งดื่มเบียร์กินกันไปพลางก่อน และหรั่งเองก็ได้เล่าประสบการณ์ในเมืองจีนช่วงที่ไปนำเสนองานวิทยานิพนธ์ให้ฟัง ความสนุกสนานก็ตื่นเต้นขึ้นเมื่อ "คนเล่าเรื่อง" และ "คนชงเรื่อง" ทำงานร่วมกัน

...ลองฟังประสบการณ์ในเมืองจีนครั้งนั้นพร้อม ๆ กัน.... 



ก่อนถึงวันแม่แห่งชาติ โรงเรียนวัดมาบข่า ที่น้องนนท์ล่ำเรียนอยู่ จัดงานวันแม่ขึ้นมาก่อนตอนวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2555 เพราะโรงเรียนยังเปิดทำการอยู่

โรงเรียนได้เชิญผู้ปกครองมาร่วมงานด้วยในวันนั้น กิจกรรมก็เป็นการไหว้ขอบคุณมารดาที่ได้เลี้ยงและดูแลลูกให้เติบใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อจะให้เด็ก ๆ รู้สำนึกบุญคุณของแม่เรา 

"น้องตาล" คือเพื่อนของน้องนิ้ง ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 โรงเรียนวัดมาบข่า ปีนี้น้องตาลได้ออกไปหน้าห้องประชุมเพื่อกล่าวร้อยแก้วถึงความดีของแม่  

ซึ่ง "น้องตาล" คนนี้ปัจจุบันอยู่กับยายไม่ได้อยู่กับแม่ แม่ของเขาขณะนี้..ต้องจำคุก..อยู่ กระผมเองไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น  

น้องเค้าเล่าว่าทุก ๆ วันก็เห็นหน้าแม่เหมือนกับเพื่อน ๆ ทุกคนนั่นแหละ แต่..พอเช้าวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นหน้าแม่แล้ว นึกว่าแม่ออกไปตลาด แต่ยังสงสัยว่าทำไมไม่กลับบ้านซักที 

จนมืดค่ำก็ยังไม่กลับมา พอนานวันเข้าจึงได้ทราบว่าแม่ไม่กลับมาหาเราในระยะอันสั้นแล้ว..แน่นอน....ความคิดถึงแม่ของน้องเขามีแน่ ๆ 

 ด้วยบรรยากาศรอบด้านมีแต่ญาติผู้หญิง ดังนั้น น้องตาลจึงมีจิตใจที่เป็นหญิงมากกว่าชาย และน้องเค้าก็ยอมรับว่า เขามีร่างกายเป็นชาย..แต่..ใจเป็นหญิง  

ถึงแม้จะถูกเพื่อนล้อเลียนในบางครั้ง แต่น้องเค้าก็ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาแบบเต็มใจ

น้องเค้า...ถึงขนาดตั้งใจเรียนเป่าแซกโซโฟนเพลง "ค่าน้ำนม" ซึ่งคุณครูบอกว่า น้องเค้าใช้เวลาเรียนสั้นนิดเดียวสามารถเป่าได้จบเพลง  แสดงว่า...เขามีความตั้งใจที่จะมอบเพลงนี้ให้กับคุณแม่ของเขา

เสียงเพลงที่ผู้ปกครองได้ฟังกันวันนั้น "เรียกน้ำตา" ให้ไหลออกมาโดยไม่รู้สึกตัวเลยทีเดียว ฉะนั้น..ใครที่ยังมีคุณแม่อยู่ในปัจจุบัน โปรด..ดูแลท่านให้ดีที่สุด

...เราลองมาฟังเพลงนี้กันดูครับ...




น้องนนท์...ซึ่งได้ไหว้แม่ด้วยเช่นกัน การจัดกิจกรรมวันแม่ของทางโรงเรียนวัดมาบข่า ได้จัดขึ้นทุก ๆ ปี ฉะนั้น..น้องนนท์ก็ได้ไหว้แม่กว่า 6 ครั้งแล้ว

แม้การไหว้แม่จะเป็นเพียงกิจกรรมแบบธรรมดา ๆ แม่ "อริยบท" ทำให้ต่างคนต่างซาบซิ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น "น้ำตา" แห่งความภาคภูมิใจก็ "หลั่งริน" ณ.เวลานั้นทันใด

บรรยากาศเช่นนี้ ใคร ๆ ก็ต่าง "ซาบซิ้ง" เป็นแน่แท้ รักใด ๆ ย่อมไม่เท่ารักจาก "พ่อและแม่" ความรักแบบนี้ท่านจะรู้ก็ต่อเมื่อ "ท่านมีลูก"  

บางครั้งสิ่งที่กำลังจะกิน ลูกบอกอยากกิน ท่านก็ต้องให้ลูกกินให้อิ่มก่อน แล้วคนที่เป็นพ่อและแม่จริงกินเมื่อลูกอิ่ม

แม้จะเป็นวันแม่แห่งชาติ  เสมือนหนึ่งว่าเป็น "วันครู" ด้วย  เพราะเด็กนักเรียนก็จะ "ไหว้คุณครู" ด้วยเช่นกัน

ด้วยความน่ารักของ "เด็กไทย" ทำให้ชาติใดก็ไม่เหมือน หรือหาเทียบได้ยาก   

ฉะนั้น คนได้จึงเรียกได้ว่า "ศิษย์มีครู" แน่นอนเมื่อศิษย์น่ารักและอ่อนน้อมคุณครูก็ปราณี ฉันใดก็ฉันนั้น

ด้วยวัฒนธรรมของชาติไทยที่มีมาตั้งแต่นมนาน ทำให้ประเทศไทยเป็นบริเวณที่ "สงบ" ไม่ก่อความรุนแรง 

เมื่อมีปัญหาอะไร "การพูดคุย" สามารถจบได้ ต่างกับหลายชาติที่ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อจะให้มีความสงบเกิดขึ้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะเป็นความทรงจำสำหรับหลาย ๆ คนไปจนชั่วชีวิต แหละภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกไว้อีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์สำหรับหลาย ๆ คน

หวังว่า...คงมีประโยชน์สำหรับคนในภาพในคราวต่อ ๆ ไป

สำหรับคุณครู (เสื้อฟ้า) ท่านนี้ ...เมื่อสองปีก่อนท่านเคยสอนน้องนิ้งหรือ ดญ.พนิตสุภา อยู่เย็น และเพื่อน ๆ "รำ" จนได้รับรางวันชนะเลิศประจำภาคตะวันออกมาแล้ว (เก่งจริง ๆ  ครับสำหรับคุณครูท่านนี้)  

เพราะการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วทำให้ชนะเลิศได้นั้น ยากแสนยาก สิ่งที่ได้มาไม่ใช่เพราะความบังเอิญ เนื่องจากคุณครูฝึกนักเรียนหลังเลิกเรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ และยังมีเต็มวันในวันเสาร์อีก รวมเวลากว่า 2 เดือน

ท่านสามารถติดตามเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ตามลิ้งท์นี้ได้เลย

http://gradingthong.blogspot.com/2011/01/blog-post_23.html

ภาพนักเรียนโรงเรียนวัดมาบข่ายืนถ่ายภาพแขวนเครื่องดนตรี "แซกโซโฟน" เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกสำหรับงานวันแม่แห่งชาติปี พ.ศ. 2555 กับคุณครูผู้ฝึกสอน

 ดนตรีสามารถ "ขัดเกลา" นิสัยใจคอของคนให้ "เยือกเย็น" และ "สุขุม" ได้เป็นอย่างดี ดั่งตอนหนึ่งของรัชกาลที่ 6 ท่านได้กล่าวไว้ว่า ...ชนใดไม่มีดนตรีกาล  ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก....

เมื่อถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2555 ครอบครัว "อยู่เย็น" ได้จัดเลี้ยงทั้งต้อนรับและเลี้ยงส่ง "ครอบครัวหรั่ง" ในคราเดียวกัน 

เริ่มจากเย็นนั้นได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือทำกับข้าวเพื่อจะรับประทานในเย็นวันนั้น กับข้าวก็เป็นแบบธรรมดา ๆ นี่แหละ เช่น หมึก, กุ้ง ,ปลา, ปู

การทำอาหารหลาย ๆ คนก็ทำให้สนุกสนานได้เช่นกัน ทำกับข้าวกันไป พูดคุยกันไป มันช่างสุขอะไรเช่นนี้ เมื่อทำเสร็จแล้วก็มีการ "ชิม" เกิดขึ้น แหม....อาหารหายไปก็ปริมาณมากเช่นกัน เพราะรสชาดยังไม่เข้าทางซักที จึงต้องชิมบ่อย  

เมื่อชิมบ่่อย ก็เกิดอาการ "อิ่ม" ก่อนกำหนด ...แหม..เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละครับท่านสำหรับคนทำครัว

นั่นก็เป็นการ "แซว" กันเล่นนะครับ เพื่อความสนุกสนาน  อาหารอร่อยมากครับสำหรับค่ำคืนนั้น  

และแล้วงานก็เริ่มขึ้น จิบเบียร์กันไปเรื่อย ๆ ฉันท์พี่-น้อง เมื่อได้เวลาเราก็ "ฉายวีดีทัศน์" กัน ความยาวประมาณ 30 นาที ...เพื่อจะได้ "รำลึก" บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบันว่ามีอะไรกันบ้าง

             ....ติดตามชมกันได้เลย....



 นับจากนั้น....ความบันเทิงจึงได้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ท่านผู้ชมครับ...ใครล่ะจะคิดว่าการอยู่ร่วมพี่ร่วมน้องเช่นนี้มีความสนุกสนานเป็นอย่างมาก  เพลงที่แต่ละคนชอบต่าง "ขุด" ขึ้นมาร้องของใครของมัน

ช่างเป็นความสุขโดยแท้...ผู้เป็นพ่อและแม่ ต่างก็ "ดีใจ" กับสิ่งที่เกิดขึ้น  ทุกคนนั่งทานไปเรื่อย ๆ และฟังเพลงของแต่ละคนไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็หัวเราะกับบรรยากาศที่ชวนทำให้ "ขัน" เป็นยิ่งนัก

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด  "ลาย" ยิ่งออกครับท่านผู้ชม ความบันเทิงยิ่งทวีคูณขึ้น เมื่อเห็นภาพแล้วยัง "ขำ" ไม่หายเลย เป็นความประทับใจอย่างยิ่ง

นายหรั่ง..ของเราท่าทางเช่นนี้ สบาย ๆ เป็นอย่างยิ่ง ปลดปล่อยได้ตามอารมณ์ ความเครียดที่มีกับการเตรียมเสนอวิทยานิพนธ์นั้น "ลืมไปชั่วคราว"

สำหรับความบันเทิงช่วงกลาง ๆ สนุกกันปานใด ปลดปล่อยกันเพียงไหน

             ...เชิญชมด้านล่างนี้ได้เลยครับ...



 เมื่อถึงเวลาซักสี่ทุ่มหรือ 22:00 น. ก็เราก็ทำพิธีไหว้ "คุณแม่" รวมทั้งไหว้ "คุณพ่อ" ในคราเดียวกันเลย (ไม่ต้องน้อยหน้ากัน)

เพื่อ..ระลึกถึงพระคุณของท่าน และขอบพระคุณที่ท่านได้ "อบรม" และ "บ่มนิสัย" ของเราให้เป็นคนดี รวมทั้งในสิ่งที่ดี ๆ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน

คนเราถึงแม้จะมีตำแหน่งใหญ่โตขนาดไหน ยิ่งถ้าอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย คุณก็มีเกียรติจะสูงขึ้นไปอีก ยิ่งทำตัวให้ต่ำคุณก็ยิ่งสูง  คล้าย ๆ กับคนจีนที่ไปบริจาคสิ่งของ จะก้มต่ำกว่าคนที่รับซะอีก

จากนั้น "คุณพ่อและคุณแม่" ก็อวยพรอะไรเล็ก ๆ น้อย (แล้วแต่จะนึกได้) ให้กับพวกเราเพื่อความเป็นสิริมงคล  ท้ายสุดก็ให้เราเป็นคนดีของพ่อและแม่ ของสังคม และต้องตอบแทนคุณของแผ่นดิน ตอบแทนคุณของ "ในหลวง" ท่าน

วันนั้นก็ "คล้ายวันเกิด" กันหลายคน เพื่อให้ทุก ๆ คนมีส่วนร่วมจึงจัดวันเกิดในคราเดียวกันเลย บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็เช่น น้องนนท์, น้องนิ้ง, อาตึง, อาหรั่ง, น้องโย

โดยใช้เค๊กก้อนเดียว...เนื่องจากว่าถ้าใช้หลายก้อนคงทานกันไม่หมดเพราะกับข้าวก็เยอะแยะแล้วในวันนั้น  แม้กระนั้น ...เค๊กก้อนเดียวก็ยังทานกันไม่หมดครับ  คล้าย "กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่" เลย

เสร็จพิธีแล้ว เราถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกในวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 กันหน่อย เนื่องจากไม่ได้ถ่ายภาพรวมกันแบบนี้นานมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็ถ่ายแบบเดี่ยว ๆ ต่าง ๆ นานา  เอาแบบเป็นกิจลักษณะหน่อยสิ


ถ้าถ่ายดึกมากกว่านี้ เดี๋ยวจะยืนกันไม่อยู่ เพราะเบียร์ 3 ลัง มันก็มากโขอยู่ จนดึก ๆ ผมมองเห็นขวดเบียร์ที่นอนอยู่ชักจะอ่านว่า "เบียร์ 037" 

ครั้งแรกก็นึกว่า...เอ๊ะ.."เบียร์อาราย 037 เบียร์ใหม่หรือเปล่า จนซักพัก...เห็นอีกขวดหนึ่งที่ตั้งอยู่ ...อ้อ...เบียร์ LEO  นี่เอง     โอ๊ว...ตู เมาเยอะแล้วนี่

 ความบันเทิงก็ยังมีต่อไปครับ ร้องกันต่อ เพลงใครเพลงมัน....กรอกรายชื่อเพลงเข้าไป...ยิ่งดึกลายก็ยิ่งออก  

วันนั้น "คุณพ่้อ" ร้องเพลงประจำใจ "คนขี่หลังควาย" ซึ่งเป็นเพลงต้นฉบับคือคุณ "ดาวบ้านดอน" คุณพ่อเป็นคนร้องเอง  ยิ่งทำให้นึกถึงความหลังเข้าไปอีก

คืนนั้นเราจบคอนเสิร์ตกันประมาณตีสอง หรือ 02:00 น.


วันรุ่งขึ้นวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2555 จะต้องไปส่งครอบครัวหรั่งกลับญี่ปุ่น  แต่ช่วงบ่ายเราไป "เล่นสเก็ตน้ำแข็ง" รอที่ "อิมพีเรียลเวิล์ดบางพลี" รอเที่ยวบินของครอบครัวอาหรั่งจะขึ้นเครื่องตอนประมาณสามทุ่มครึ่ง หรือ 21:30 น.

มีหลายคนเลยที่ต้องหัดเล่น รวมทั้งตัวกระผมเองด้วย ซึ่งไม่เคยเล่นสเก็ตใด ๆ ทั้งประเภทล้อเลื่อนและแบบบนน้ำแข็ง ที่เริ่มหัดเล่นเลยก็ อาติ๋ว, ป้าอ้อย ,ลุงโต้ง

ส่วน น้องโย, น้องญา , น้องนิ้ง, น้องนนท์ เคยเล่นแล้ว เมื่อสวมรองเท้าได้ เขาก็เล่น "ปร๋อ" เลย (อายเขามั้ยล่ะ) เอาเป็นว่า การเล่นสเก็ต นำไปไว้เล่าครั้งหน้าดีกว่า ...เน๊อะ

 เราออกจากลานสเก็ตน้ำแข็งประมาณ 19:00 น. จึงออกเดินทางมาสู่สนามบินโดยแวะเข้าด้านหลังของสนามบิน เพื่อ "ชมเครื่องบิน" ขณะเครื่องบินกำลังบินขึ้นจากทางวิ่ง

กลุ่มเราได้เย็นบรรยากาศตอนมืดของสนามบินที่ประดับประดาไปด้วยไฟ ทำให้ "สวยงาม" ยิ่งนัก และเครื่องบินลำใหญ่ที่บินขึ้นสู่ท้องฟ้าจึง "ตื่นเต้น" กันใหญ่ 


ถ้าเป็นยามเย็น ๆ จะถ่ายของเครื่องบินจากด้านล่างได้สวยงามมาก เพราะอยู่ด้านล่างของเครื่องบิน จึงเห็นภาพได้แบบเต็ม ๆ ตา

บริเวณด้านข้างของสนามบินเขาห้ามจอดรถดู (ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน) แต่บริเวณนี้ให้จอดรถชมเครื่องบินได้ และชมบรรยากาศได้อีกอรรถรสหนึ่งด้วย

เมื่อมาึถึงสนามบินซักประมาณสามทุ่มครึ่งหรือ 21:30 น. ญาติที่มาสมทบภายหลังพร้อมกับครอบครัวหรั่งได้รออยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว 

ช่วงนั้นหลาน ๆ ก็เข็นรถเข็นของสนามบินเล่นกันอย่างสนุกสนานเหลือเกิน (ตามประสาเด็ก ๆ แหละท่าน) โดยมี "น้องญา"..เป็นผู้เข็น

ก็ปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นกันไป เมื่อเด็ก ๆ กับเด็กมาเจอกันความสนุกก็เกิดขึ้นทุก ๆ ที่นั่นแหละ

              ....ชมภาพบรรยากาศขณะนั้นดูสิ.... 




พอนักรอได้ซักเกือบจะสี่ทุ่ม เจ้าหน้าที่ประกาศว่าเครื่องบินที่จะไปจีน "ล่าช้า" เนื่องจากมีพายุในแถบเอเซีย ปกติเครื่องจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 23:30 น. เขาขอเลื่อนเวลาออกเป็น 03:00 น.

ฉะนั้น..เราจึงต้องนั่งรออีกแล้วครับท่านผู้ชม (เจอเครื่องบินล่าช้าทั้งขาไปและขากลับ) ไม่เป็นไร ก็นั่งเสวนากันต่อ  จะได้อบอุ่นขึ้น 

..แต่..ที่ไหนได้ ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นเนื่องจากผู้คนไปกันเกือบหมดแล้ว (แหล่งความร้อนมีน้อยลง) จึงทำให้เราหนาวได้เช่นกัน

พอได้เวลาเกือบจะห้าทุ่ม หรือ 23:00 น. หรั่งก็จะนำกระเป๋าเข้าไปเช็ค-อิน เพื่อจะให้กระเป๋าเดินทางไปขึ้นเครื่องบินก่อน เดี๋ยวจะไปทันนะ เพราะกระเป๋าต้องติดป้ายอีก วันนั้นคนที่จะไปจีนก็เยอะเสียด้วย

               ....ชมบรรยากาศกันอีกครั้งขณะนั่งรอ....



คณะเรานั่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวหรั่งจนกระทั่ง 00:30 น. ของอีกวัน  เหตุผลที่นั่งรอกันจนดึกดื่น เพื่อ คนเดินทางก็จะได้ไม่เหงา ตั้งหลายชั่วโมงแน่ะ  กว่าเครื่องบินจะออก

ประจวบเหมาะกับว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดชดเชยวันแม่ซะด้วย คณะผู้ไปส่งจึงไม่ค่อยกังวลอะไรเท่าไหร่ จวนจะเวลาตีหนึ่ง (01:00 น.) 

ครอบครัวหรั่งก็จะต้องเข้าไปภายในที่นั่งพักผู้โดยสารภายใน โดยรอที่ช่องของสายการบินของประเทศจีน  การพบกันก็ต้องมีการจากลา  แต่ก็ไม่นานหรอก..ก็จะต้องกลับมาพบกันอีก  หรือปีหน้าเดือนมีนาคม 2556 คณะเราก็จะ "ยกโขยง" ไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่หรั่งอยู่อีกหนนั่นแหละ   รอเวลานั้นละกัน

          ...ดูเหตุการณ์วันนั้นอีกเน๊าะ...



เมื่อครอบครัวหรั่งเดินเข้าไปยังชานชาลาผู้จะเดินทางออกนอกประเทศแล้ว "คณะลูกหมู" ของเราก็จะเดินทางกลับระยองกันบ้างล่ะ  ทุกคนก็ยังมีความสุขและสนุกสนานกันเหมือนเดิม 

พายุรอบโลกปีนี้รุนแรงเสียเหลือเกิน ลำบากเรื่องการบินอีกด้วย พบเหตุต้องเลื่อนการบินออกไปตั้งหลายชั่วโมง

...ดูช่วงเวลากำลังจะกลับบ้านแล้ว...


 
เดินออกมาเรื่อย ๆ ก็ถ่ายภาพอีกซักภาพหน้าป้ายชื่อสนามบินที่มีื่ชื่อเสียงของประเทศไทยอีกหน..ดิ๊  แม๊...มากี่ครั้ง ๆ ถ่ายภาพอย่างไรก็ไม่ค่อยเบื่อเลยนะสถานที่นี้ มาบ่อยแต่ทุก ๆ คนก็อยากมาอีก

ครั้งนั้น..ข้าวเหนียวและหมูทอด ที่คุณแม่เตรียมไปทานก็ "ควัก" กันทานระหว่างทางเกือบครึ่งกระติ๊บ มันช่าง "เอร็ดอร่อย" อะไรเสียอย่างนี้ 

...เป็นการรวมภาพจากเหตุการณ์ต่าง ๆ มา "โฮม" กันไว้...
















































































ขอให้ทุก ๆ คนจงมีแต่ความสุขความเจริญ..ตลอดไป