วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การท่องเที่ยวประเทศ "ญี่ปุ่น"

ครั้งหนึ่ง ในชีวิตของ "ข้าน้อยเอง" เออ......ไม่ใช่ ๆ สิ ต้องของ "กระดิ่งทอง" หรือ "กระผมเอง" ได้ไปเยี่ยมชมต่างประเทศดินแดน "ดอกซากุระ" ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ไปกันเป็น "ครอบครัวใหญ่" ครับ 

ในรายละเอียดมีดังนี้ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ เราได้วางโครงการล่วงหน้าแล้วประมาณ 2 ปี 

เพื่อใช้ระยะเวลาในหยอดเงินลงกระปุกออมสิน เพื่อใช้จ่ายในการเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน และอื่น ๆ เนื่องจากไปกันทั้งครอบครัว รวมทั้งคุณพ่อ คุณแม่ เลยต้องใช้งบประมาณกันเยอะหน่อยละงานนี้... 

แต่ก็เอาน่า...เพื่อเป็นโบนัสชีวิตให้กับตนเองและครอบครัว รวมทั้งคุณพ่อ คุณแม่ด้วย  

สำหรับงบการท่องเที่ยวครั้งนี้คนละ 50,000 บาท/คน (รวมทุกอย่าง) ดังนั้น จึงมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยประมาณ 320,000 บาท

การเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก
- วันที่ 15 ตุลาคม 2551 เดินทางจากจังหวัดระยองไปทำ passport ที่เซ็นทรัลบางนา โดยใช้บัตรประชาชนตัวจริง ประกอบคำร้องขอทำ passport

- ต้นเดือนธันวาคมจองตั๋วเครื่องบิน ได้ตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นของการบินไทย 19,900 บาท และแจ้งออกตั๋วเครื่องบินพร้อมจ่ายเงิน หลังจากที่ขอวีซ่าผ่านแล้ว 


- วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 ยื่นคำร้องขอวีซ่าที่สถานทูตญี่ปุ่น และรับวีซ่าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 ** ในการขอวีซ่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 60 ปี ไม่ต้องเดินทางไปเอง 


คนอื่นสามารถยื่นขอแทนได้ **** เอกสารประกอบคำร้องขอ และขั้นตอนการขอวีซ่าท่านสามารถเข้าไปดูได้ตามนี้เลย ****
  http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visa1.htm

**ถ้าไปเป็นกลุ่มให้ยื่นคำร้องพร้อมกันทีเดียวเลย ในกรณีของเรา เราดำเนินการยื่นคำร้องให้พ่อแม่ และลูกด้วย 


เอกสารประกอบก็แนบเป็นรายบุคคลตามที่สถานทูตกำหนดได้ ยกเว้นทะเบียนบ้านตัวจริง ใบรับรองการทำงาน และ Statement ใช้ฉบับเดียวกัน สำหรับพ่อแม่ผมและภรรยาออกหนังสือรับรองเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประกอบด้วย

สำหรับคนที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เงินเดือน 20,000 บาทขึ้นไปไม่ต้องใช้ Statement แต่ถ้าเป็นผู้รับรองค่าใช้จ่ายให้บุคคลอื่นต้องใช้ด้วย (กันพลาด) 

สำหรับผมใช้ Statement ของภรรยาแนบประกอบ.....อิ อิ เพราะในบัญชีของ
ข้าพเจ้ามีเงินอยู่น้อยนิด แบบว่าฝากให้เจ้าหน้าที่ธนาคารส่วนตัวเป็นผู้บริหารจัดการหมดเลย อิ อิ**

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นี่เป็นอะไรที่จัดการยากมาก เพราะเห็นอะไร ๆ มันก็น่าซื้อไปซะหมด จึงทำให้ "เงินสด" ที่มีอยู่ในมือมีไม่ค่อยมากนัก

- หลังจากที่วีซ่าผ่านก็จองบ้านพัก - ก่อนเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ได้จัดเตรียมกระเป๋าเดินทาง รวมทั้งอุปกรณ์ที่ต้องใช้ 

การเตรียมเสื้อผ้า สำหรับเที่ยวเมืองหนาวนั้นไม่ต้องเตรียมเยอะให้หนักกระเป๋า ชุดหนึ่งใช่ซ้ำได้หลายวัน เพราะอากาศเย็นเดินเที่ยวทั้งวันยังไม่มีเหงื่อเลย 

เสื้อผ้าก็ไม่เลอะเพราะไม่มีฝุ่น..... ผมนะใส่เสื้อผ้าข้างในซ้ำกันตั้ง 3-4 วันแน่ะ.... ถ้าคนไหนชอบแฟชั่นหน่อย ก็เปลี่ยนเฉพาะเสื้อโค๊ตตัวนอก ก็พอแล้ว......ส่วนผมตัวเดิมเลย 11 วัน.....555555...

อุปกรณ์กันหนาว
- เสื้อสำหรับใส่ด้านใน สเวสเตอร์ และเสื้อโค๊ต (ยาวๆ หน่อยก็ดีนะเผื่อกันลมที่ขาด้วย เพราะไปเมืองไหนที่ลมแรง ๆ อุณภูมิไม่ต่ำมากแค่ประมาณ 8 °C แต่มีลมพัดด้วยเนี่ยหนาวสะท้านเลยหล่ะ) 
 
****กรณีที่ไปสถานที่หนาวจัด ควรใส่เสื้อยืดพอดีตัวไว้ด้านในก่อนจะใส่เสื้อเชิ้ต หรือโปโลทับอีกทีหนึ่ง*****

- กางเกง......กางเกงก็ใช้ยีนส์นี่แหละ นอกจากไปสถานที่หิมะตก ลมแรง หรืออุณหภูมิต่ำกว่า 0 °C ควรจะเป็นผ้าร่มแบบ 2 ชั้นชนิดที่มีผ้าในจะอุ่นกว่า และกันลมได้ดี........

ในกรณีคณะทัวร์ลูกหมูของเรา....ตอนที่ไปสกีรีสอร์ทอุณภูมิประมาณ -12 องศา ในคณะมีเราใส่กางเกงผ้าร่มอยู่คนเดียว นอกนั้นใส่กางเกงยีนส์ ปรากฏว่าทุกคนออกไปถ่ายรูปได้ครู่เดียวต้องวิ่งเข้าในตัวอาคารกันหมด ยกเว้นผมที่อยู่นอกตัวอาคารได้นานที่สุด ***ถ้าใครกลัวหนาวก็มีลองจอนติดไปสักชุดก็ได้**** 

- ถุงมือ สำหรับประเทศญี่ปุ่นให้ไปซื้อที่ญี่ปุ่นดีกว่า ราคา 100 เยน กันหนาวได้ดีมาก เพราะที่เรานำไปจากประเทศไทยพอไปสถานที่หิมะตก มันช่วยอะไรไม่ได้เลย 

เวลาซื้อคนขายบอกถุงมือชาร์มัวอย่างดีกันหิมะได้ ...หึ.หึ หลอกกันชัด ๆ คู่ละตั้ง 450 บาทแน่ะ

- ถุงเท้า ถ้าสถานที่ที่หนาวมาก ๆ ก็ใช้ถุงเท้าทำงานเรานี่แหล่ ใส่ 2 ชั้น เพื่อกันความอบอุ่นไม่ให้ออกจากตัวเรา กันได้ดีกว่าถุงเท้าหนา ๆ ชั้นเดียว ....เราลองดูแล้ว ดีจริงถึงได้บอกต่อ....5555 

- หมวก และ ผ้าพันคอไหมพรม ผ้าพันคอกันไม่ให้ลม และความเย็นโดนบริเวณคอ บริเวณคอถ้าปะทะกับความเย็นนาน ๆ อาจทำให้เจ็บคอได้


- การเช่ารถยนต์ขับในต่างแดน คนที่จะสามารถเช่ารถยนต์ในต่างแดนได้นั้น "ต้อง" มีใบขับขี่สากล การท่องเที่ยวครั้งนี้ "โจ" อาสาที่จะทำใบขับขี่สากล

ขั้นตอนทำใบขับขี่สากลนั้นก็ต้องมีใบขับขี่ที่เป็นของประเทศไทยเองก่อน จากนั้นจึงนำหลักฐานใบขับขี่ สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน และรูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป 

โดยไปขอทำใบชับขี่สากลที่ "กรมการขนส่ง" ใกล้ขนส่งสายใต้ หรือ ตลาดจตุจักร นั่นแหละ พร้อมกับ "ค่าทำเนียมในการทำใบขับขี่" อีก 500 บาท

จากนั้นเมื่อยื่นหลักฐานแล้ว ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เราก็ได้ใบขับขี่สากลแล้ว และนำไปใช้เพื่อขับรถในต่างแดนได้ สิ่งสำคัญ

**เราต้องศึกษากฏหมายจราจรของประเทศนั้น ๆ ด้วย และ อย่าทำผิดกฏหมายบ้านเมืองเขาใด ๆ จะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นเราจะลำบาก**


-สนนราคาค่าเช่ารถขับท่องเที่ยว รถยนต์ที่เราเช่าครั้งนี้ราคา 6,500 บาท/วัน การให้รถยนต์กับผู้มาเช่านั้นเขาจะดูว่า มาเช่ากันกี่คน เช่น ถ้ามา 2 คน เขาจะให้รถสปอร์ต 2 ที่นั่งไปเลย

ถ้ามาเยอะในกลุ่มเดียวกันก็จะให้รถตู้ หรือ ใกล้เคียง หรือแล้วแต่คนเช่าต้องการ ในครั้งนี้เราได้เช่ารถยนต์ "โตโยต้า อัลพาร์ท" เป็นรถขนาดเครื่องยนต์ 2,400 ซีซี รถคันนี้มีระบบอัตโนมัติรอบคัน

ส่วนการเดินทางนั้นไม่ต้องกลัวหลงทางครับ เพราะรถยนต์มีระบบนำทางให้ หรือ GPS ขอเพียงตั้งจุดหมายให้ถูกเท่านั้น และภาษาที่ใช้ในเครื่องนั้นก็เป็นภาษาญี่ปุ่น


ฉะนั้น เราจึงต้องรบกวนให้พนักงาน "สาวสวย" ตั้งจุดหมายปลายทางให้เราครับ ระบบนำทางนั้นสัญญาณดีมาก

ถึงแม้ว่าจะวิ่งเข้าอุโมงค์ลอดเขาระยะทางยาวถึง 7 กม. สัญญาณนำทางก็ไม่มีหายครับ สมแล้วกับที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว .........นับถือจริง ๆ ....
 
ข้อควรระวัง ในการเดินทางไปต่างประเทศแบบไปกันเอง (ไม่ได้ไปกับ "ทัวร์")

1. ตระเตรียมเบอร์โทรศัพท์และสถานที่ตั้งของ "สถานฑูตไทย" ของประเทศนั้น ๆ ไว้ด้วยเผื่อมีธุระต้องติดต่อจะได้ไม่เสียเวลาหา

2 เมื่ออยู่ในสถานที่นั้น ๆ ให้ตกลงกันก่อนว่า ถ้า "พลัดหลง" เราจะมายังจุดนัดพบใด

3. ถ้า "แยกย้ายกันเที่ยว" จะนัดพบกันที่จุดหมายเวลาใด

4. ก่อน "ขึ้น-ลง ยานพาหนะใด ๆ" ให้นับจำนวนคนก่อน "ต้อง" ให้ครบจึงเดินทางต่อ

5. ให้ "เด็ก ๆ" อยู่กลางแถว โดยให้ผู้ใหญ่นำ ขั้นกลาง และ ปิดท้ายอยู่ตลอด และนับจำนวนคนเรื่อย ๆ (ต้องครบ)


6. ถ้าใคร "หลง" ให้ "หยุด" อยู่ที่เดิมและที่สถานที่นั้น "อย่า" เดินไปเรื่อย ๆ จะได้ตามถูกที่

7.ถ้ามีคน "ขึ้น" รถไฟไปก่อน โดยที่ "ประตูรถไฟปิดก่อน" เพราะเพื่อน ๆ ยังไม่ขึ้น อาจจะเนื่องมาจากคนเยอะมาก จะทำอย่างไร นั่นคือให้ตกลงกันก่อน

แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่รู้เรื่องแล้ว อาจจะไปรอที่สถานนีที่จะลงได้เลย แต่ถ้าเป็นเด็กควรให้ลงสถานต่อไปเลย 

และเมื่อลงแล้วไม่ต้องเดินไปไหน เราจะตามไป เพราะตู้รถไฟที่เราขึ้นจะไปจอด ณ.จุดเดียวกันของสถานีต่อไป เป็นต้น แล้วก็จะเจอกันเอง

8. ถ้าลงทุนก็ "ซื้อซิมโทรศัพท์" ที่ประเทศนั้น ๆ ไว้ใช้ (ที่เคยใช้ก็ไม่แพงนะ ถ้าคิดเป็นไทยแล้วประมาณ 200 บาท/ซิม)

จะได้ติดต่อกันได้เวลาไม่เจอกัน หรือ แจ้งเปิดเบอร์เราให้โทรที่ต่างประเทศได้ก็สะดวกแต่จะแพงเยอะ ซึ่งจะคุ้มถ้ามีคนหาย

9. จะไปไหนจากกลุ่มเรา ให้แจ้งกันไว้ด้วย

10. กรณีเราไปสอบถามกับคนพื้นที่จะไม่ค่อย "ระแวง" แต่..ถ้าเป็นคนนอกจากกลุ่มเรา "กรุณา" พิจารณาความช่วยเหลือด้วย กลัวเขาหลอกเรา

11. ถ้ามีการ "เคลื่อนย้ายข้ามฝาก" เช่น ขึ้นเรือ ไปยังที่อื่นให้ "เผื่อเวลา" ไว้ด้วย น้อยสุดก็ 10 นาที ต้องเข้าไปนั่งรอขึ้นพาหนะแล้ว (จะมีห้องรอก่อนขึ้นพาหนะนั้น ๆ ) เพราะเขามีเวลาในการสัญจร

จากที่ "กล่าว" มาข้างต้นนั้น เป็นการป้องกันไว้ครับ เพราะถ้ามีคนหายจริง ๆ แล้วตามกันไม่เจอจะทำให้เรา "ลำบาก" มาก

และถ้าถึงเวลากลับประเทศไทยแล้วจำนวนคนไม่ครบ เราจะเดือดร้อน "ค่าเครื่องบิน" อีก อย่าให้ขาดตกบกพร่อง แล้วคุณจะท่องเที่ยวแบบ "สนุกสนาน" ...ขอรับ ...

เชิญชม "ภาพนิ่ง" กันเลยครับ... ด้านล่างจะเป็น "ภาพเคลื่อนไหว"

กังหันปั่นไฟฟ้า จะหมุนตามทิศทางลม และคงความเร็วไว้เท่าเดิมโดยการปรับมุมที่ใบ เพื่อควบคุม "เฮิร์ท" หรือ "คลื่นความถี่" ให้คงที่






















ต่อไปเชิญชม "ภาพเคลื่อนไหว" ได้ ขอ......รับ















2 ความคิดเห็น:

  1. ขอร่วมติดตามผลงานด้วยคนครับ แบบว่าเชียร์พี่ตัวเอง ฮิ ฮิ

    ตอบลบ
  2. โห น่าอิจฉาจัง
    ... kO_oK

    ตอบลบ