วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

บทความต่าง ๆ ที่น่าสนใจ

เสียดาย (Loss)
คนที่ทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด ? คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร ? คนที่ไม่เคยตกงานไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ....... 

 เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่ง ครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสได้แก้ตัว แต่เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว

เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนคือประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง

ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์ที่คิดได้โดยส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ จึงอยากสรุปคำว่า เสียดาย ของมนุษย์อย่างเรา ให้หลีกเลี่ยง หรือป้องกันได้อย่างไรบ้าง

เสียดาย! ไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงานไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์โดยทั่วไปในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมา

เนื่องจากช่วงแรกๆของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย

คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำมาก เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที 

เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เราจะรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน

ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน แล้วจะทำงานดีได้ยังไง กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่

บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงขึ้น กลับกลายเป็นเส้นที่แบนราบ อายุงานผ่านไปแต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่ทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้ว ว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาว

เสียดาย! ที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือน บางคนจะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปี ปีละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน งานใหม่ท้าทายกว่า เป็นต้น

แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตนั้นดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบว่าถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้ง การเรียนรู้ ( Learn ) การทำงาน ( Perform ) และการพัฒนาปรับปรุงงาน ( Improve )

แต่ทั้งนี้อาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตเพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่ที่สูงขึ้น

เสียดาย! ที่ไม่ได้ศึกษาต่อความเสียดายข้อนี้เชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ

เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาไปศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป 

เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น

อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง

จึงทำให้เสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนไปแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้จะมีเวลามากขึ้น แต่กำลังใจน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ สักปีสองปี จะยอมอดทน ไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว

เสียดาย! ที่ใช้เงินไม่รู้จักคิด
มนุษย์สมัยนี้ ยังไม่ถึงกลางเดือนก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เฉยๆแล้ว เพราะว่าได้ใช้เงินในอนาคตไปหมดเสียตั้งแต่ต้นเดือน

ด้วยค่านิยมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป หลงเชื่อในบัตรเครดิต บัตรเงินผ่อนต่างๆที่ต่างออกมาหลอกล่อให้เราจับจ่ายใช้สอย จนบางครั้งก็เกินตัวและเกินพอดี มารู้ตัวอีกทีทำงานมาเกือบ10ปี ตัวเลขในธนาคารยังอยู่หลักพันไม่ขยับสักที

อยากได้อะไรก็ซื้อ ซื้อของฟุ่มเฟือยด้วยความหน้าใหญ่ในตอนหนุ่มสาว มารู้ตัวอีกทีเห็นเพื่อนฝูงในวัยเดียวกันเริ่มทำงานพร้อมกัน ..แต่..เก็บเงินซื้อบ้านซื้อรถได้


ในขณะที่เรายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หรือกำลังเป็นหนี้หัวโตอยู่ ด้วยคิดแค่เพียงว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยเก็บก็ได้ เดือนหน้าก็ได้ ไว้รอโบนัสออกก่อนก็ได้ แล้ววันนั้นก็ไม่เคยมาถึงสักที


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเริ่มเก็บเงินตั้งแต่เดือนแรกของการทำงาน ทำบัญชีใช้จ่าย กันเงินไว้ ออมก่อนเสมอที่เหลือค่อยเก็บไว้ใช้จ่าย

ไม่ใช่ใช้ก่อนเหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บ เพราะถ้าเราเก็บเงินเดือนละ 5000 บาททุกเดิอน ป่านนี้เราคงมีเงินอย่างน้อยๆ 600000 บาทนอนอยู่ในธนาคารแล้วล่ะ

เสียดาย! ที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
มนุษย์หลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก หรือกับเพื่อนบ้านเอง วัน ๆ เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น

ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันมาก จนแทบไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานของตนเองเลย

ตอนนั้นลืมไปว่า จริง ๆ แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก

คิดว่าเรื่องมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วใครเป็นคนผิด สุดท้ายแล้วเราก็จะจมอยู่กับปัญหาคนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่...ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจให้มาก นัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่อีกไกลไหม 

เรามีเวลาเหลืออีกนานไหม ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงาน ไปกับเราตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะ ก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น

เสียดาย! ที่แต่งงานเร็วไปหน่อย (อันนี้ก็คงแล้วแต่บุคคล ไม่ใช่ทั้งหมด)มนุษย์หลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไป เพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว

จึงเริ่มคิดที่เอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็ว ชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว

ทั้งๆที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ

เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่จะทุ่มเทกับงานน้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว

เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คิดง่ายๆ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ

ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกันกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งงานบ้าง มีเงินเก็บสักก้อนหนึ่ง หรืออาจจะมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อน จึงคิดจะแต่งงาน

เสียดาย! ที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ“ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี" เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ

แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว 

ซึ่งพัฒนาได้ยากเพราะว่ามีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น (ผมก็คนหนึ่งล่ะ)

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับ บริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ

เสียดาย! ที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อยมนุษย์บางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ

ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไร ยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไร พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง

วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้านวันหยุดก็อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆในรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว


ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไรและแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร

เสียดาย ที่ไม่ได้ท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนให้รางวัลกับชีวิต
หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าต้องทำงานให้ได้เงินมากมากที่สุดในตั้งแต่เยาว์วัย โดยไม่ต้องพักผ่อน เอาไว้พักผ่อนครั้งเดียวตอนเกษียณ

เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร เราอาจ "ตาย" ก่อน หรือ "พิการ" ก่อนก็เป็นได้ แล้วจะไปพักผ่อนตอนไหน

ถ้าเราพักผ่อนไปด้วยทำงานไปด้วย ชีวิตจิตใจก็ได้พักผ่อนไปด้วย เสมือนเราทำงานกลางวัน กลางคืนก็นอนเพื่อเก็บแรงไว้สู้วันใหม่

เสียดายที่ไม่ได้ดูแลผู้มีพระคุณอย่างเต็มที่
จุดนี้หลาย ๆ คนมองข้ามไป ตอนเราเกิดมาผู้มีพระคุณดูแลเราอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเราเติบโตแล้ว ก็ต่างคนต่างไป เสมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์เมื่อโตแล้วก็แยกย้ายไป

ในเมื่อเราเป็น "มนุษย์" เราก็ต้อง "คิดได้" และ "คิดเป็น" ด้วย ในทำนองกลับกัน ถ้าลูกเราทำกับเราเยี่ยงนี้ เราจะคิดอย่างไร ....เออ..


ทั้งหมดนี้ เราอาจจะลืมไป หากเรามีเวลาที่จะ "ตรอง" ก็จะพบว่า เรามองข้ามไป ซึ่งอาจจะ "เช้า" สำหรับบางคน แต่อาจจะ "สาย" หรือ "บ่ายคล้อย" 

แล้วกับอีกหลายคน นั่นคือ อยากให้มนุษย์ทั่ว ๆ ไปตระหนักถึงคำว่า "เวลา" อย่าได้ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี  

เราไม่สามารถตักน้ำในแม่น้ำได้เหมือนกันในเวลา 2 ครั้ง  

นาฬิกาถึงแม้มันจะ "ตาย" (หยุดเดิน) เพราะถ่านหมด....แต่...เมื่อเราเอาถ่านใส่ใหม่ ก็ต้องตั้งเวลาใหม่ ไม่ใช่เวลาเดิมที่ต้องเดินต่อเนื่อง เพราะมันคนละเวลากัน


เสียดาย! เวลาที่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุดในชีวิตที่มีเท่ากับ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน ทุกคน....ต่างหากล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น